ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ : ใกล้ถึงจุดที่จะพังทั้งกระดาน

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ใกล้ถึงจุดที่จะพังทั้งกระดาน

ประเทศไทยผ่านสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคมด้วยสถานการณ์การระบาดที่เลวร้ายลงทุกวัน ผู้ติดเชื้อใหม่ที่เกินหมื่นติดต่อกัน 14 วัน เท่ากับสองสัปดาห์นี้เรามีผู้ติดเชื้อพุ่งเกือบสองแสนราย หรือเท่ากับมากกว่าเดือนมิถุนายนทั้งเดือนเกือบเท่าตัว

เดือนกรกฎาคมมีผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลที่เป็นโรงพยาบาลจริงๆ กับโรงพยาบาลสนาม 180,000 ราย และเมื่อคำนึงว่าโรงพยาบาลสนามอย่างบุษราคัมเป็นจุดรับผู้ป่วยหนักไปแล้ว ขณะโรงพยาบาลใหม่ที่สุวรรณภูมิต้องเพิ่มเตียงให้ออกซิเจนเป็น 3,000 จากปัจจุบัน 800 ก็แปลว่าทุกอย่างจะเลวร้ายลง

ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ที่ขยับจากหลักพันเป็นหนึ่งหมื่นในวันที่ 16 กรกฎาคม ประเทศไทยใช้เวลาเพียง 6 วันเพื่อทำให้ผู้ติดเชื้อพุ่งสู่เขตวันละ 15,000 ในวันที่ 22 กรกฎาคม ซึ่งหากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผู้ติดเชื้อสะสมจาก 543,361 คน ในวันที่ 28 กรกฎาคม ก็มีโอกาสจะลุกลามถึงระดับหนึ่งล้านคนภายในเดือนสิงหาคม

ผู้ติดเชื้อที่พุ่งพรวดทำให้คนตายเพิ่มขึ้นไม่หยุด เรามีคนตายรายวันหลัก 100 ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม ซึ่งก็เท่ากับเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่เรามีคนตายเฉลี่ยชั่วโมงละ 4-5 คน ซึ่งหากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จำนวนคนตายเพราะโควิดจาก 4,397 คน ในวันที่ 28 กรกฎาคม ก็มีโอกาสจะลุกลามถึงระดับแปดพันคนภายในเดือนสิงหาคม

ขณะที่ช่วงนี้ของปีที่แล้วแทบไม่มีการระบาดจนรัฐบาลอวยว่าคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา คือสุดยอดนายกฯ ประเทศไทยวันนี้มีเด็กกำพร้า, คนตายข้างถนน และคนตายคาบ้านเพิ่มไม่หยุด เตียงมีไม่พอผู้ป่วย ขยายโรงพยาบาลสนามก็ช่วยไม่ได้ และการกักตัวตามบ้านทำให้บ้านเป็นคลัสเตอร์ใหม่ในความเป็นจริง

ผู้ติดเชื้อใหม่กว่าครึ่งอยู่ กทม. และเมื่อคำนึงว่าอธิบดีกรมควบคุมโรคเปิดเผยในวันที่ 27 กรกฎาคม ว่าคนป่วยใน กทม.และปริมณฑลล้นระบบ 3 เท่า ก็แปลว่าคนตายข้างถนนและตายคาบ้านคงเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าการกักตัวตามบ้านจะนำไปสู่การพยาบาลจริงๆ

ไม่ใช่การปล่อยให้ลุ้นว่าจะรอดหรือตาย

รัฐบาลคุมการระบาดไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือรัฐบาลซื้อวัคซีนล่าช้าและผิดพลาดจนการฉีดวัคซีนไม่ช่วยลดการระบาดมากอย่างที่คาดหวังไปด้วย สังคมไทยจึงเผชิญวงจรอุบาทว์ของการระบาดที่ต้องรอถึงไตรมาส 4 กว่าที่วัคซีน mRNA จะเข้าประเทศ และอาจจะเป็นปีหน้ากว่าที่จะเห็นผลจริงๆ

หากนับจากเดือนเมษายนที่หลานรองนายกฯ ปล่อยไฮโซเปิดผับทองหล่อในพื้นที่ตัวเองจนเชื้อลาม คนไทยก็มีชีวิตท่ามกลางความกังวลเรื่องไวรัสระบาดมาสี่เดือนแล้ว

หรือพูดอีกอย่างคือคนไทยตื่นเช้าพร้อมกับพบว่าคนตายและคนติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ จนความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

หน้าที่พื้นฐานรัฐบาลคือการปกป้องชีวิต, ทรัพย์สิน และเสรีภาพของประชาชน แต่ผลงานที่รัฐบาลทำสะท้อนความล้มเหลวในการทำหน้าที่นี้ทั้งหมด ไม่มีใครรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยในรัฐบาลนี้ เงินที่เคยมีอาจหมด ถ้าจนก็ชีวิตวิบัติ

ส่วนเสรีภาพขึ้นอยู่กับความแปรปรวนทางอารมณ์ของรัฐบาล

 

คนไทยวันนี้เกลียดรัฐบาล หรือพูดตรงๆ คือคนจำนวนมากเกลียดนายกฯ อย่างที่ไม่เคยเกลียดนายกฯ คนอื่น

ยิ่งกว่านั้นคือความเกลียดไม่ได้มาจากการปลุกปั่นหรือปั้นน้ำเป็นตัวอย่างที่เคยเกิดแก่คุณทักษิณ ชินวัตร หรือคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่มาจากผลงานที่รัฐบาลทำให้เห็นจริงๆ หรือไม่อย่างนั้นก็คือจากตัวนายกฯ เอง

ไม่มีตรงไหนในการระบาดที่เป็นข่าวดีสำหรับประเทศหรือเปิดทางให้อวยรัฐบาล

ปฏิกิริยาที่คนมีต่อรัฐบาลจึงมีแต่การด่าทอ, สาปแช่ง, แชร์ข้อมูลถูกบ้างผิดบ้าง, โพสต์เฟซประณาม, ส่งข้อความหลังไมค์, ชวนคุยบนรถแท็กซี่, ใส่เสื้อยืด, อัดคลิป ฯลฯ สุดแท้แต่ความสะดวกตามสถานการณ์

ความเกลียดควรเป็นส่วนหนึ่งของสังคมการเมืองหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันยาว

แต่คำถามว่าอะไรควรหรือไม่ควรนั้นเป็นเรื่องหลักการที่เป็นนามธรรม

ส่วนความเกลียดที่คนมีต่อนายกฯ คนนี้มากมายมหาศาลเป็นข้อเท็จจริงทางสังคมที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะยอมรับมันได้หรือไม่ก็ตาม

จะอยู่อย่างไรในโลกที่คนด่าและเกลียดทุกสารทิศนั้นไม่ง่าย ยิ่งการด่าและความเกลียดมาจากการกระทำของรัฐที่มีปัญหาจริงๆ ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก

ในที่สุดรัฐบาลประยุทธ์ก็ตัดสินใจทำเรื่องที่รัฐบาลเขลาขั้นที่สุดจะทำได้ นั่นก็คือการแสดงออกว่าจะดำเนินคดีกับทุกคนที่วิจารณ์รัฐบาล

ปรากฏการณ์ดารา Call Out หรือวิจารณ์รัฐบาลประเด็นต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นและลุกลามมากอย่างปัจจุบัน

และยิ่งนานการวิจารณ์ก็ยิ่งขยายตัวไม่หยุดจนการ Call Out หรือ “ด่ารัฐบาล” กลายเป็นบรรทัดฐานของคนยุคนี้ ต่อให้รัฐบาลจะข่มขู่ประชาชนอย่างไรก็ตาม

เจ็ดปีแห่งการอยู่ในอำนาจของคุณประยุทธ์คือเจ็ดปีแห่งการปิดปากประชาชนทั้งโดยยัดคดีและวิธีนอกระบบ

ผมถูกกรรมการ กสทช.ฟ้องขอเงิน 20 ล้านเพราะวิจารณ์ว่านายพลขาประจำสั่งปิดวอยซ์ คนเป็นร้อยโดนยัดคดีเพราะพูด, เขียน, ปราศรัย, ชุมนุม ทั้งที่บางครั้งเป็นแค่การยืนเฉยๆ เท่านั้นเอง

เดือนกรกฎาคมคือเดือนที่คนของคุณประยุทธ์ยัดคดีประชาชนไม่ว่าจะเป็นคุณอภิวัฒน์ ขันธ์ทอง, คุณสนธิญา สวัสดี หรือคุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ แต่ผลลัพธ์คือประชาชนยิ่งวิจารณ์รัฐบาลมากขึ้นไปอีก ในที่สุดคุณประยุทธ์จึงตัดสินใจประกาศใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินดำเนินคดีทุกคนที่รัฐเห็นว่าสร้างความหวาดกลัวให้ประชาชน

ขณะที่ประชาชนเข้าใจว่ารัฐจะเอาผิดแค่กับคนที่เผยแพร่เฟกนิวส์ คำแถลงของคุณประยุทธ์พูดถึงการดำเนินคดีกับดารา, คนธรรมดา, สื่อ, คนดัง, เพจ รวมทั้งอินฟลูเอนเซอร์ที่รัฐเห็นว่าเผยแพร่ข้อมูลทำให้ประชาชนหวาดกลัว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่รัฐวินิจฉัยเองโดยไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย

ตรงข้ามกับการยัดคดีเฟกนิวส์ซึ่งประชาชนไม่ผิดหากพูดเรื่องจริง อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้ต่อให้พูดเรื่องจริงก็ผิดได้ นั่นแปลว่าใครที่พูดถึงจำนวนผู้ติดเชื้อ, จำนวนคนตาย, ภาพคนตายข้างถนนหรือตายคาบ้านจนรัฐเชื่อว่าเข้าข่าย “สร้างความหวาดกลัว” ก็มีสิทธิโดนดำเนินคดีทุกคน

ประชาชนไม่ผิดที่เกลียดรัฐบาล และยิ่งกว่านั้นคือประชาชนไม่ผิดที่เผยแพร่ข้อมูลหรือความรู้สึกที่เกิดเพราะคนร่วมชาติตายเป็นใบไม้ร่วงสี่เดือนแล้ว ความเกลียดรัฐบาลเกิดเพราะประชาชนมีความเป็นคน และเหนืออื่นใดคือความเกลียดรัฐบาลเกิดจากความรักชาติที่ชาติหมายถึงประชาชนด้วยกัน

มีคนวิจารณ์ตั้งแต่คุณประยุทธ์ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่ารัฐบาลจะใช้กฎหมายยัดคดีคนพูดความจริง วันนั้นรัฐบาลตอบโต้ว่าคำวิจารณ์เป็นเท็จ แต่คำแถลงของคุณประยุทธ์เรื่องให้กระทรวงดำเนินคดีกับคนที่เข้าข่ายนี้คือหลักฐานว่าคำวิจารณ์นั้นถูก ส่วนคำตอบโต้ของรัฐบาลเป็นเรื่องหลอกลวง

คุณประยุทธ์เผชิญขาลงทางการเมืองเต็มตัว เสียงเรียกร้องให้ลาออกลามจากการชุมนุมบนท้องถนนไปสู่การแสดงออกของคนทุกกลุ่มไม่ขาดสาย คุณทักษิณคะแนนนิยมพุ่งกระฉูดในฐานะสัญลักษณ์ของฝ่ายตรงข้ามประยุทธ์ ส่วนครั้งสุดท้ายที่ประเทศมีข่าวดีเกี่ยวกับคุณประยุทธ์นานจนจำไม่ได้เลย

คุณประยุทธ์กำลังเผชิญชะตากรรมทางการเมืองแบบคุณยิ่งลักษณ์ช่วงขาลง แต่ขณะที่ขาลงของคุณยิ่งลักษณ์เกิดจากการปลุกปั่นและให้ข้อมูลเท็จ

ขาลงของคุณประยุทธ์เกิดจากความเป็นจริงที่การดำรงอยู่ของคุณประยุทธ์สร้างปัญหาให้กับคนทั้งหมด ขาลงของคุณประยุทธ์จึงหนักจนใครอุ้มก็พัง

อายุขัยของระบอบประยุทธ์กำลังดับลงเรื่อยๆ จนทางเลือกของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีแค่จะอุ้มคุณประยุทธ์ต่อไป หรือจะฆ่าตัดตอนทางการเมืองให้เรื่องนี้จบที่บุคคลมากกว่าตัวระบอบเอง

ประเทศกำลังเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่อนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณประยุทธ์ว่าจะจบชีวิตทางการเมืองของตัวเองอย่างไรหลังจากดำเนินนโยบายที่เป็นศัตรูกับประชาชนถึงขั้นพร้อมจะดำเนินคดีกับประชาชนที่พูดความจริง