‘ทางตัน’ ที่หนีไม่พ้น/เมนูข้อมูล นายดาต้า

เมนูข้อมูล

นายดาต้า

 

‘ทางตัน’ ที่หนีไม่พ้น

 

แทบไม่ต้องตั้งคำถามกันอีกแล้วว่า “รัฐบาลล้มเหลวกับการคลี่คลายวิกฤตการระบาดของโควิด-19 หรือไม่”

เพราะไม่ใช่แค่สถานการณ์คนป่วย คนติดเชื้อ คนตาย ที่เพิ่มขึ้นไม่รู้หยุดหย่อนเท่านั้น

แต่ไม่ว่าจะขยับไปทางไหน ล้วนแล้วแต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางประเมินปัญหาผิดพลาด

ล่าสุดที่ออกมาเปิดเผยถึงนโยบายผลักดันให้ผู้ป่วยใน กทม.และปริมณฑลกลับไปรักษาที่บ้านเกิด โดยมีคำแนะนำว่าให้ขับรถส่วนตัวไป

ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการทำเช่นนั้นเท่ากับเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดไปรายทาง เพราะคนป่วยที่เดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด เป็นไปไม่ได้ที่ไม่แวะจุดพักริมทาง ซึ่งหลักๆ ก็คือ “ปั๊มน้ำมัน” ที่บริการทุกสิ่งทุกอย่าง

ยิ่งชัดเจนโดยสถานการณ์วันสองวันที่ผ่านมาซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อในต่างจังหวัดเริ่มมากกว่า กทม.และจังหวัดใกล้เคียง นั่นหมายถึงเข้าเป้าหมายนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลที่ว่า

และหากย้อนไปถึงกระบวนการจัดการที่ผ่านมาทั้งหมด ทั้งทิศทางของนโยบายที่มาจาก “วิชั่น” ทั้งความเป็นเอกภาพในการบริหารในภาคปฏิบัติ ที่นำมาสู่การถูกโจมตีอย่างหนัก กระทั่งการหาข้ออ้างเพื่อแก้ต่างของรัฐบาลเต็มไปด้วยความทุลักทุเลแล้วจะย่อมรู้สึกได้ว่าความเอือมระอาที่มีต่อรัฐบาลชุดนี้ของประชาชนมาถึงจุดสิ้นสุดของขีดความอดทนแล้ว

ทว่ารัฐบาลดูเหมือนจะไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ยังยืนกรานที่จะเป็นผู้นำประเทศต่อไป และผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลยังประกาศตัวพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างผู้นำของพวกเขาอย่างเต็มที่

สภาวะ “รัฐบาลไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน” ดูเหมือนจะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม เพราะมีประชาชนบางคน บางจำพวกที่ยังยืนกรานยกธงเชียร์ท่านผู้นำแบบริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ดังนั้น การตั้งคำถามว่าประชาชนคิดอย่างไรกันแน่จึงเกิดขึ้น ซึ่งคำตอบในเรื่องนี้สรุปได้ยากมาก เพราะเป็นความเชื่อของแต่ละคนที่ยอมรับในความเห็นที่ต่างจากตัวเองลำบาก

จะพอนำมาอ้างอิงได้ก็มีแต่ “ผลโพล”

 

ในประเด็นนี้ “สวนดุสิตโพล” สำรวจเรื่อง “คนไทยในยุควิกฤตโควิด-19”

ซึ่งในคำถาม “คิดว่าประเทศไทยควรทำอย่างไร จึงจะฝ่าวิกฤตโควิด-19 ได้” คำตอบมากถึงร้อยละ 78.47 บอกว่ารัฐบาลต้องจริงใจ ไม่แสวงหากำไรจากประชาชน, ร้อยละ 76.70 ต้องการให้ฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้บุคลากรทางการแพทย์โดยเร็ว, ร้อยละ 75.04 ต้องการให้จัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและหลากหลายยี่ห้อให้ประชาชน, ร้อยละ 74.69 ให้มีการตรวจหาเชื้อเชิงรุก กักพื้นที่การแพร่ระบาด, ร้อยละ 69.97 ให้หยุดเล่นการเมือง เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านเข้ามาช่วยกันทำงาน

คำตอบที่ออกมาเช่นนี้ หากจะสรุปว่ารัฐบาลหมดสภาพ ไม่เหลือความไว้เนื้อเชื่อใจอะไรจากประชาชนอีกแล้ว คงไม่ใช่ข้อสรุปที่เกินเลยไปมากมาย เนื่องจากทั้งการเรียกหาความจริงใจจากรัฐบาล และขอให้เปิดทางฝ่ายค้านเข้ามาร่วมทำงาน ย่อมสะท้อนชัดถึงทัศนคติที่มีต่อฝีมือความสามารถของรัฐบาล

หากเอาหัวจิตหัวใจของประชาชนเป็นตัวตั้ง ความเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกทางไปสู่เป้าหมายที่สุด โดยเฉพาะตัว “นายกรัฐมนตรี”

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ 2560 ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

ด้วยแม้กระแสจะปรารถนาให้เปลี่ยนตัวผู้นำประเทศจะท่วมท้นแค่ไหนก็ตาม แต่อีกกระแสหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” จะต้องมาจากกลไกของ “รัฐสภา” ด้วย โดยเฉพาะจาก “ผู้แทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง”

ซึ่งประเด็นนี้แม้จะถูกต้องที่สุด แต่ทำให้เกิดความยุ่งยากไม่น้อย เพราะการใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งให้อำนาจ “นักการเมืองที่มาจากการแต่งตั้ง” ไว้มากมาย ย่อมสร้างอุปสรรคให้การสรรหาผู้นำที่ได้รับความเชื่อมั่นในกรอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนขึ้นอย่างแน่นอน

และนั่นหมายถึงภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ ไม่มีทางออกให้วิกฤตการเมือง