การเมืองฉากสุดท้าย! ทหารต้องอ่านประวัติศาสตร์/ยุทธบทความ สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

ยุทธบทความ

สุรชาติ บำรุงสุข

 

การเมืองฉากสุดท้าย!

ทหารต้องอ่านประวัติศาสตร์

 

“ความอ่อนแอที่สำคัญของทหารในฐานะของกลุ่มอำนาจการเมืองคือ การไม่มีสถานะในการเป็นผู้ปกครอง”

แซมมวล ไฟเนอร์ (1962)

 

บทความนี้อยากจะขอเริ่มต้นถามด้วยความไม่แน่ใจว่า ผู้นำไทยเคยอ่านหนังสือ “ประวัติศาสตร์การเมืองไทย” หรือไม่…

หรือทหารไทยไม่ชอบเรียนประวัติศาสตร์ จึงไม่มีมิติคิดทางประวัติศาสตร์?

ถ้ามองการเมืองไทยจากประวัติศาสตร์แล้ว ผู้นำทหารอาจจะพบคำตอบมากมายสำหรับการนำมาเป็นข้อพิจารณาในการตัดสินใจทางการเมือง

อย่างน้อยประวัติศาสตร์ช่วยคลี่คลายให้เห็นถึงผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจเลือกในแต่ละครั้ง

จนบางทีเราอาจกล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ในการเป็น “ฝ่ายอำนวยการ” ให้แก่ผู้บังคับบัญชา

ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาที่ดีจึงต้องเรียนรู้ “บทเรียนจากประวัติศาสตร์”

ความตระหนักรู้จากประวัติศาสตร์การเมืองจะช่วยชี้ให้เห็นอย่างมีนัยสำคัญอีกว่า “การตัดสินใจสุดท้าย” ของผู้นำทหารไทยที่จะ “อยู่ต่อหรือจากไป” นั้น ไม่เพียงจะส่งผลอย่างมากต่อชีวิตของเขา ต่อรัฐบาล (ของเขา)

และที่สำคัญยังส่งผลต่อบทบาทของทหารกับการเมืองในอนาคตอีกด้วย

 

ประวัติศาสตร์ช่วยตอบ!

คําถามสำคัญของการเมืองไทยในปัจจุบันคือ อนาคตของผู้นำทหารที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะดำเนินต่อไปอย่างไร เมื่อเขากำลังเผชิญกับแรงเสียดทานอย่างมากจาก “อภิมหาวิกฤตโควิด-19”

กล่าวคือ ชีวิตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะผู้นำทหารที่ร่วมยึดอำนาจกันมาจะคลี่คลายด้วยการไปต่อ หรือจะต้องจบลงอย่างไรจึงเป็นอนาคตที่ท้าทายอย่างยิ่ง

เพราะคงต้องยอมรับว่าเสียงต่อต้านในสังคมขณะนี้ดังมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัญหาความล้มเหลวในการบริหารวิกฤต

และอาจจะเป็น “เสียงต้าน” รัฐบาลที่ขึ้นสู่กระแสสูงมากที่สุดที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

โดยเฉพาะการต่อต้านปรากฏให้เห็นในหลายภาคส่วน และที่สำคัญคือ กระแสต่อต้านรัฐบาลในโลกโซเชียลที่สูงขึ้นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาการสิ้นสุดอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำทหารทั้งหลาย จากยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เริ่มจากรัฐประหารพฤศจิกายน 2490 จนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า “ฉากสุดท้าย” ของแปดผู้นำทหาร (3 จอมพล และ 5 พลเอก) ในการเมืองไทยมีความแตกต่างกันในแต่ละแบบอย่างน่าสนใจ ซึ่งผลจากหลายฉากทัศน์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แต่ประวัติศาสตร์ของผู้นำทหารทั้งแปดเป็นเครื่องเตือนใจอย่างดีสำหรับผู้นำทหารคนที่เก้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน

ดังนั้น บทความนี้จะนำเสนออย่างสังเขปถึง “ฉากทัศน์” ของแปดผู้นำทหารที่ลงจากอำนาจนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามารถแยกออกได้เป็น 4 ตัวแบบ คือ 1) การหมดอำนาจด้วยการถูกขับไล่ 2) การสิ้นสุดอำนาจด้วยการถูกรัฐประหาร 3) การตัดสินใจยุติบทบาทเอง 4) การอยู่ในอำนาจจนวาระสุดท้าย

 

ตัวแบบที่ 1 : การหมดอำนาจของผู้นำทหารในการเมืองไทยจากการถูกชุมนุมประท้วง ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2516 และ 2535 และถือเป็นประวัติศาสตร์สำคัญของการต่อต้านรัฐบาลทหาร

ฉากทัศน์ที่ 1 : 2516-ถูกขับไล่ จนต้องลี้ภัย

กรณีที่ 1 เป็นคำตอบจากประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อผู้นำหลักทั้งสามของรัฐบาลทหารในขณะนั้น คือนายกรัฐมนตรี “จอมพลถนอม กิตติขจร” และคณะคือ จอมพลประภาส จารุเสถียร พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน และสูญเสียความชอบธรรมในหลายกรณี จนสุดท้ายนักศึกษาและประชาชนตัดสินใจลุกขึ้นสู้ จนเป็นการประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดในการเมืองไทย รัฐบาลทหารพ่ายแพ้การต่อสู้บนถนน จนสุดท้ายแล้ว ผู้นำทหารทั้งสามต้องลงจากอำนาจ และลี้ภัยไปต่างประเทศ (เป็นการต้องลี้ภัยออกต่างประเทศครั้งที่ 2 หลังจากกรณีของจอมพล ป. ในปี 2500)

ฉากทัศน์ที่ 2 : 2535-ถูกไล่ จนต้องลาออก

กรณีที่ 2 มาจากเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535” เมื่อผู้นำทหารในช่วงเวลาดังกล่าว คือ นายกรัฐมนตรี “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน อันเป็นผลจากการยึดอำนาจในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 และรัฐบาลถูกต่อต้านอย่างมาก จนขยายตัวเป็นการประท้วงขนาดใหญ่ของนักศึกษาและประชาชนอีกครั้ง แต่ผู้นำทหารตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของรัฐบาลและกองทัพในปี 2535 จนนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำทหารต้องยอมลาออก

อันเป็นการพ่ายแพ้ทางการเมืองครั้งใหญ่อีกครั้งของทหารในการเมืองไทยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

 

ตัวแบบที่ 2 : การสิ้นสุดอำนาจของผู้นำทหารอันเป็นผลจากการถูกรัฐประหาร ซึ่งมีทั้งการรัฐประหารของ “การใช้กำลังโดยตรง” รัฐประหารเงียบในรูปแบบของ “การใช้กำลังบังคับ” และรัฐประหารรัฐบาลของตัวเอง

ฉากทัศน์ที่ 3 : 2500-ถูกรัฐประหาร

กรณีที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อนายกรัฐมนตรี “จอมพล ป.พิบูลสงคราม” และกลุ่มสายราชครูพยายามที่จะสืบทอดอำนาจ ด้วยการอาศัยการ “โกงการเลือกตั้ง” ผลจาก “การเลือกตั้งสกปรก” ในปี 2500 ทำให้เกิดการต่อต้านในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง และตามมาด้วยการประท้วงขนาดใหญ่ของนิสิต-นักศึกษา จนกลายเป็นช่องทางให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร และจอมพล ป.ต้องลี้ภัยไปญี่ปุ่น เขาเป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ต้องลี้ภัยทางการเมือง และจบชีวิตลงในต่างแดน

ฉากทัศน์ที่ 4 : 2514-รัฐประหารตนเอง

กรณีที่ 4 เป็นรัฐประหารที่แปลกที่สุด เมื่อนายกรัฐมนตรี “จอมพลถนอม กิตติขจร” ไม่สามารถทนแรงกดดันทางการเมืองได้ และตัดสินใจยึดอำนาจรัฐบาลตนเองในเดือนพฤศจิกายน 2514 ฉะนั้น การตัดสินใจ “ยึดอำนาจตนเอง” กลายเป็นทางเลือกของผู้นำทหารที่อยากสืบทอดอำนาจเสมอ แต่ก็ต้องตระหนักว่า สุดท้ายแล้วการยึดอำนาจตนเองเช่นนี้ไปจบลงด้วยการประท้วงใหญ่ และปิดฉากรัฐบาลทหารลงในปี 2516

ฉากทัศน์ที่ 5 : 2523-รัฐประหารเงียบ

กรณีที่ 5 เป็นตัวแบบคลาสสิคของการล้มผู้นำทหารในการเมือง คือการ “ถูกจี้” ให้ลงจากอำนาจ ดังเหตุการณ์เมื่อนายกรัฐมนตรี “พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์” เผชิญแรงกดดันทางการเมือง แต่พยายามที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป

จนสุดท้ายแล้วกลุ่มยังเติร์กที่ผลักดัน พล.อ.เกรียงศักดิ์ขึ้นสู่อำนาจ ตัดสินใจใช้ “กำลังบังคับ” หรือเป็น “รัฐประหารเงียบ” จนนายกรัฐมนตรีต้องประกาศการลาออกกลางสภาในเดือนกุมภาพันธ์ 2523

 

ตัวแบบที่ 3 : ผู้นำทหารตัดสินใจที่จะยุติบทบาทของตนเอง เพราะมองว่าการมีอำนาจต่อไปเป็นความยุ่งยาก และการยอมถอยออกจากการเมืองจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

ฉากทัศน์ที่ 6 : 2540-ออกเอง

กรณีที่ 6 เป็นการตัดสินใจที่ผู้นำทหารมักจะไม่ยอมเลือก แต่เมื่อนายกรัฐมนตรี “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” เผชิญกับแรงต่อต้านจากการประกาศขึ้นภาษีน้ำมัน ส่งผลให้เกิดการประท้วงจากกลุ่มนักธุรกิจและภาคประชาสังคม ที่บริเวณย่านสีลมและหน้าทำเนียบรัฐบาล ทำให้นายกรัฐมนตรีได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน 2540 เพื่อไม่ให้การประท้วงลุกลามขยายตัวในสังคมไทย ซึ่งเป็นการตัดสินใจลาออกด้วยตนเอง แต่ไม่ใช่การถูกบังคับจากฝ่ายทหาร และเป็นกรณีที่ถูกยกขึ้นเป็นตัวอย่างที่ผู้นำทหารยอมตัดสินใจลาออกเพื่อยุติปัญหาทางการเมือง

ฉากทัศน์ที่ 7 : 2550-ไม่สืบทอดอำนาจ

กรณีที่ 7 เกิดเมื่อรัฐบาลทหารของนายกรัฐมนตรี “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” เข้ามารับหน้าที่หลังรัฐประหารกันยายน 2549 แต่รัฐบาล “ขิงแก่” ไม่ประสบความสำเร็จในทางนโยบาย และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในหลายเรื่อง จึงตัดสินใจยุติบทบาทด้วยการเปิดการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550 เพื่อถ่ายโอนอำนาจ และเป็นรัฐบาลทหารที่มีอายุสั้นมากเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น

ฉากทัศน์ที่ 8 : 2531-ลาออกดีกว่า

กรณีที่ 8 บอกถึงการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐบาลที่มีอายุยืนยาวมากที่สุดชุดหนึ่งในการเมืองไทย คือ 8 ปี 5 เดือน จนเมื่อเกิดการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2531 และสังคมเริ่มส่งสัญญาณถึงความต้องการนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง พล.อ.เปรมตัดสินใจสุดท้ายที่จะยุติบทบาททางการเมือง ด้วยคำกล่าวว่า “ผมพอแล้ว”

อันส่งผลให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกหลังเหตุการณ์ตุลาคม 2519 และการยุติบทบาทช่วยลดกระแสต้านรัฐบาลลงทันที

 

ตัวแบบที่ 4 : ผู้นำทหารอยู่ในตำแหน่งจนวาระสุดท้าย ซึ่งในกรณีนี้เป็นเพียงเหตุการณ์เดียวในการเมืองไทย ที่ผู้นำทหารปิดฉากตัวเองในลักษณะเช่นนั้น

ฉากทัศน์ที่ 9 : 2506-ตายในตำแหน่ง

กรณีที่ 9 เป็นสถานการณ์ที่ผู้นำทหารเสียชีวิตในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” มีอาการป่วยและถึงแก่อสัญกรรมในต้นเดือนธันวาคม 2506 เขาจึงเป็นผู้นำทหารคนเดียวที่เสียชีวิตในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เขาก็ทิ้งมรดกทั้งทางการเมืองและส่วนตัว จนกลายเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมไทย

แม้กระนั้นผู้นำทหารในสายอำนาจนิยมก็มักจะฝันถึงการเป็น “สฤษดิ์สอง” ที่มีอำนาจและความมั่งคั่งเสมอ

ทั้งที่ในความเป็นจริง เงื่อนไขและบริบทของการเมืองไทยไม่เอื้อให้เกิดภาวะเช่นนั้น

อนาคต : 2564-อยู่หรือไป?

 

ผู้นำทหารที่เป็นนายกรัฐมนตรีทุกคนมักต้องการที่จะอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานเสมอ แต่จาก 9 ฉากทัศน์ในข้างต้นเป็นดัง “เครื่องเตือนใจ” อย่างดีแก่การตัดสินใจของผู้นำทหารในปี 2564 และยังเตือนใจแก่บรรดาทหารการเมืองว่า อำนาจทางการเมืองของทหารในการเมืองไทยไม่ยั่งยืนเสมอไป และอาจล้มพังทลายได้เมื่อเผชิญกับแรงเสียดทานใหญ่จากสังคม…

วันนี้แรงต้านจากประชาชนเกิดขึ้นทั่วทุกสารทิศ จนอาจกลายเป็น “ละครการเมืองฉากสุดท้าย” ของรัฐบาลได้

ดังนั้น การตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะ “อยู่หรือไป” ในครั้งนี้ จึงท้าทายต่ออนาคตของผู้นำทหารในการเมืองไทยอย่างยิ่ง!