สรรพคุณ ฟ้าทะลายโจรราชาแห่งรสขม

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ/โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย www.thaihof.org

ฟ้าทะลายโจรราชาแห่งรสขม

สมคำพังเพย ‘หวานเป็นลมขมเป็นยา’ (1)

 

ในช่วงเวลาวิกฤตที่โควิด-19 กำลังระบาด ชาติต้องการระดมทรัพยากรทางปัญญามาร่วมด้วยช่วยกันต้านมหันตภัยโรคระบาด

แต่สมุนไพรฉายา “ฟ้าทะลายโจร” ที่เคยเป็นพระเอกปราบโจร กลับถูกตั้งข้อหาเป็นจำเลยของสังคมเสียเอง เพราะหาญกล้ามาปราบโจรโควิด-19 เกินหน้าเกินตายาเคมีเภสัชแผนปัจจุบัน

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ฟ้าทะลายโจรเคยเป็นสมุนไพรยอดนิยมในยุคที่องค์การอนามัยโลกเริ่มประกาศเป้าหมายให้ประชาคมโลกบรรลุสุขภาพดีถ้วนหน้าก่อนปี 2543 (HEALTH FOR ALL by the YEAR 2000) โดยมีการสาธารณสุขมูลฐาน (Primary Health Care) เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง

กระทรวงสาธารณสุขไทยเองก็ได้ตั้งหน่วยงานสาธารณสุขมูลฐานระดับกองขึ้นมาในครั้งนั้น เพื่อส่งเสริมการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน

ตอนนั้น ฟ้าทะลายโจรยืนโดดเด่นอยู่แถวหน้าของกลุ่มสมุนไพรในสาธารณสุขมูลฐาน

และเป็นสมุนไพรตัวแรกๆ ที่ได้รับการบรรจุเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ (National List of Essential Medicines) ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาตั้งแต่ พ.ศ.2542 แล้ว

 

ในบัญชียาหลักแห่งชาติฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2556) ยาฟ้าทะลายโจรถูกจัดอยู่ในบัญชียาจากสมุนไพร บัญชีที่ 2 คือ ยาพัฒนาจากสมุนไพร ซึ่งเป็นบัญชียาสมุนไพรตัวเดียวโดยระบุให้ยาฟ้าทะลายโจรเป็นยารักษาได้ 2 กลุ่มอาการ คือ (1) ยารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินอาหาร ที่ใช้บรรเทาอาการท้องเสีย และ (2) ยารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมียาฟ้าทะลายโจรโดดเด่นอยู่ในบัญชีนี้เพียงตำรับเดียว (First Line Drug) ที่ใช้บรรเทาอาการหวัด เจ็บคอ

โดยปกติ ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ยาพัฒนาจากสมุนไพรตัวเดียว อย่างเช่น ยาฟ้าทะลายโจร ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ เช่นเดียวกับยาแผนไทยที่เป็นตำรับยาสมุนไพรหลายตัว จึงทำให้ยาฟ้าทะลายโจรไม่ได้รับการยอมรับจากแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ ทั้งที่แพทย์และเภสัชกรแผนปัจจุบันสามารถสั่งจ่ายยาแผนไทยได้

ในขณะเดียวกันแพทย์แผนไทยที่เคร่งครัดตามคัมภีร์ตายตัว ก็ไม่ยอมรับยาสมุนไพรตัวเดียวว่าเป็นยาแผนไทย แม้ว่าจะขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณเหมือนกันก็ตาม

 

ในที่นี้ขอแลกเปลี่ยนในประเด็นฟ้าทะลายโจรกับศาสตร์การแพทย์แผนไทยพอสังเขป

โดยขอยกเอาวาทะแห่งท่านบรมครูแพทย์แผนไทยชีวกโกมารภัจจ์ เป็นนิกเขปบทว่า “กบิลไม้ทั้งมวลล้วนเป็นยา ที่ไม่เป็นยาหาไม่ได้เลย”

สำหรับท่านที่เรียนแพทย์แผนไทยย่อมรู้ “หลักเภสัช 4” อย่างขึ้นใจ หนึ่งหลักในนั้นคือ “หลักสรรพคุณเภสัช” ซึ่งแพทย์จะต้องรู้รสของตัวยานั้นๆ ก่อน จึงจะสามารถทราบสรรพคุณได้ภายหลัง ดังในคัมภีร์ธาตุวิวรณ์กล่าวว่า “ผู้แพทย์พิเคราะห์ยา ดูโรคาอย่าเหงาง่วง ซึ่งรสโรคทั้งปวง แต่งตามต้องคล่องพลันหาย”

หรือในคัมภีร์ฉันทศาสตร์ว่าด้วยยาไทย 9 รส ที่แพทย์แผนไทยเรายึดถือก็กล่าวถึงความสำคัญของรสยาทั้ง 9 ที่บ่งบอกสรรพคุณยาไว้ครบถ้วนว่า

“ยาหลายอย่างหลายพรรณ สิ้นด้วยกันเก้ารส จงกำหนดอย่าคลาด ยารสฝาดชอบสมาน ยารสหวานทราบเนื้อ รสเมาเบื่อแก้พิษ ดี โลหิตชอบขม เผ็ดร้อนลมถอยถด เอ็นชอบรสมันมัน หอมเย็นนั้นชื่นใจ เค็มทราบในผิวหนัง เสมหะยังชอบส้ม”

ในเมื่อศาสตร์การแพทย์แผนไทยใช้รสของเภสัชวัตถุ เป็นหลักสำคัญในการบ่งบอกสรรพคุณยา แม้เภสัชวัตถุหลายชนิด ทั้งที่เป็นพืชวัตถุ สัตว์วัตถุ และธาตุวัตถุจะไม่ปรากฏชื่ออยู่ในคัมภีร์แพทย์แผนไทยที่เป็นคัมภีร์หลวงก็ตาม ผู้ได้ชื่อว่า “เสฏฐญาณแพทย์” ประกอบด้วยวิจารณปัญญา ประกอบซึ่งวิธีแห่งโอสถ ยังที่เกิดแห่งโรคนั้นให้เสื่อมสูญ

“ย่อมต้องรู้จักพิจารณาใช้รสยาจากสมุนไพรต่างๆ มาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคตามสมควร”

 

ตรงนี้ขอยกตัวอย่างเข้าประเด็นในคัมภีร์ฉันทศาสตร์ ว่าด้วยคัมภีร์ตักกะศิลา ซึ่งกล่าวถึงโรค “ห่าลงเมือง” หรือโรคระบาดร้ายแรง ประเภทไข้พิษ ไข้กาฬ ไข้เหนือ ซึ่งรวมถึงไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดน้อย ก็จัดอยู่ในจำพวกไข้ตักกะศิลาด้วย เนื่องจากไข้ตักกะศิลาเป็นโรคระบาดร้ายแรงมาก

ท่านแพทย์ที่รจนาคัมภีร์นี้คงเห็นความยากลำบากที่ประชาชนทั่วไป แม้แต่หมอเองจะสามารถสรรหาเครื่องยามาเยียวยาคนไข้ ตนเอง ครอบครัวและชุมชน ในช่วงสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่กำลังขาดแคลนไปเสียทุกอย่าง อย่าว่าแต่ยาเลย แม้อาหารจะยาไส้ให้ครบ 3 มื้อก็หาไม่ได้ด้วยซ้ำ

ดังนั้น ท่านจึงกล่าวย้ำถึงรสยาของพืชสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคจำพวกไข้ตักกะศิลาไว้ในอารัมภบทต่อจากบทไหว้ครูเลยทีเดียวว่า

“ถ้ายังไม่รู้ให้แก้กันดูแต่พรรณฝูงยาเย็นเป็นอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา ฝาดจืดพืชยาตามอาจารย์สอน”

ความหมายโดยสรุปจากบทร้อยกรองนี้ก็คือ “ถ้ายังไม่รู้ว่าจะใช้ยาอะไรแก้ไข้ตักกะศิลา ก็ให้ใช้พืชยาสมุนไพรทั้งหลายที่มีรสประธาน ‘เย็นเป็นอย่างยิ่ง’ และมี ‘รสขมจริง’ รวมทั้งพืชยาที่มี ‘รสฝาด’ กับ ‘รสจืด’ ด้วยก็ได้”

ยิ่งกว่านั้น ท่านยังสำทับอีกว่า ห้ามใช้รสยาที่แสลงต่อไข้ตักกะศิลาโดยเด็ดขาด ดังนี้ “อย่าเพ่อกินยาร้อนแรงแข็งกล้า ส้มเหล้าน้ำมัน” กล่าวคือ “พระผู้เป็นเจ้าจึงห้ามว่า ไข้จำพวกนี้ย่อมห้ามมิให้วางยาร้อน เผ็ด เปรี้ยว…ถ้าใครไม่รู้ทำผิดดังกล่าวมานี้ ก็ถึงความตายดังนี้แล”

 

ในที่นี้ จึงพออนุมานได้ว่า แม้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรจะไม่ปรากฏชื่ออยู่ในคัมภีร์ตักกะศิลาหรือในตำรับตำรายาแผนไทยฉบับหลวงก็ตาม

“แต่พรรณฝูงยา” ที่มีรส “เย็นเป็นอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา” ในคัมภีร์ฉันทศาสตร์ว่าด้วยคัมภีร์ตักกะศิลานั้น ตรงกับสเป๊กฟ้าทะลายโจรเป๊ะเลย ขนาดฝรั่งยังตั้งฉายาสามัญให้กับสมุนไพรตัวนี้ว่า “King of Bitters” หรือ “ราชาแห่งความขม” นั่นเอง

และขึ้นชื่อว่ายาขม ส่วนใหญ่มักมีรสประธานเย็น ถ้าขมมากก็เย็นมาก

จึงอาจเรียกฟ้าทะลายโจรในอีกฉายาหนึ่งว่า “ราชาแห่งสมุนไพรรสเย็น” ก็ยังได้