ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 มิถุนายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
จากนโยบาย ‘ลูกคนเดียว’
สู่นโยบาย ‘ลูก 3 คน’ ของจีน
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศนโยบายใหม่ที่จะเปิดทางให้คู่สามี-ภรรยาชาวจีนสามารถมีลูกได้ 3 คน จากเดิมที่อนุญาตให้มีได้เพียง 2 คน นับเป็นการสิ้นสุดนโยบายเข้มงวดที่เปิดทางให้มีลูกได้เพียง 2 คนก่อนหน้านี้ลงไปอย่างเป็นทางการ
นโยบายดังกล่าวซึ่งได้รับการอนุมัติโดยประธานาธิบดี “สี จิ้น ผิง” ในการประชุมคณะกรรมการโปลิตบูโรนั้น มีขึ้นหลังจากเมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลจีนเปิดเผยผลสำรวจจำนวนประชากรที่จะทำขึ้นทุกๆ 10 ปี ซึ่งพบว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรจีนนั้นอยู่ในระดับที่ “ช้า” มากที่สุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว
ผลสำรวจจำนวนประชากรของจีนเปิดเผยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาพบว่า ทั่วประเทศมีเด็กเกิดใหม่ในปี 2020 เพียง 12 ล้านคนเท่านั้น นับเป็นการลดจำนวนลงอย่างมากนับจากปี 2016 ที่มีเด็กเกิดใหม่ทั่วประเทศจำนวน 18 ล้านคน และยังนับเป็นจำนวนเด็กเกิดใหม่ในรอบ 1 ปีที่น้อยที่สุด นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 หรือในรอบ 60 ปี
ด้วยแนวโน้มดังกล่าวจึงทำให้จีนถูกคาดหมายว่าจะกลายเป็นสังคมที่มีผู้สูงอายุมากกว่าคนอายุน้อยที่เป็นแรงงานหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ประชากรสูงอายุส่วนใหญ่จะดึงงบประมาณด้านสุขภาพและบริการสังคมให้สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
การประกาศนโยบายลูก 3 คนของจีนครั้งนี้ นับเป็นอีกครั้งที่จีนพยายามจะใช้กฎหมายแก้ปัญหาจำนวนประชากรในประเทศ หลังจากเมื่อ 40 ปีก่อนรัฐบาลประกาศใช้นโยบายเข้มงวดอย่างนโยบาย “ลูกคนเดียว” ที่ต้องการจำกัดจำนวนประชากรในประเทศ
นโยบาย “One Child Policy” หรือนโยบายวางแผนครอบครัว ถูกบังคับใช้ขึ้นตั้งแต่ปี 1979 มีเป้าหมายเพื่อควบคุมอัตราการเกิดของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลานั้น
ในช่วงทศวรรษ 50 จีนมีประชากรราว 540 ล้านคน แต่ผ่านไป 30 ปี ในทศวรรษที่ 80 จีนกลับมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 940 ล้านคน หรือเกือบเท่าตัว
แนวคิดการมีลูกเพื่อช่วยทำมาหากิน ดันประชากรเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และยิ่งพิจารณาจำนวนผู้เสียชีวิตจากภาวะอดอยากที่อาจทำให้มีคนเสียชีวิตไปหลายสิบล้านคนในช่วงเวลานั้นแล้วด้วยยิ่งทำให้รัฐบาลจีนมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องควบคุมจำนวนประชากรอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้คนล้นประเทศและเกิดภาวะทรัพยากรไม่เพียงพอ
นโยบาย “ลูกคนเดียว” ถูกรัฐบาลจีนบังคับใช้อย่างเข้มงวด ครอบครัวใดที่ละเมิดกฎหมาย มีลูกมากกว่า 1 คนจะถูกปรับอย่างหนัก ในระดับ 4 เท่าของรายได้ต่อปีของครอบครัว หากเป็นข้าราชการหรือสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ก็จะถูกไล่ออกจากงาน หนักกว่านั้นก็ถึงขั้นบังคับให้ทำแท้ง
นโยบายลูกคนเดียวยังกลายเป็นช่องว่างให้เจ้าหน้าที่รัฐระดับท้องถิ่นทุจริตอย่างกว้างขวาง แนวคิดอยากได้ “ลูกชาย” นำไปสู่ปัญหาสังคม เช่น การขโมยเด็กชาย หรือแม้แต่การฆ่าลูกสาวที่เป็นลูกคนแรกเพื่อลุ้นลูกชายคนต่อไป
นอกจากนี้ ยังส่งผลให้จำนวนประชากรเพศชายมีมากกว่าเพศหญิง สวนทางกับค่าเฉลี่ยของโลกที่ประชากรเพศหญิงจะมากกว่าเพศชาย
นโยบายลูกคนเดียว บวกกับการพัฒนาการด้านสังคมและเศรษฐกิจของจีนในช่วงหลัง ทำให้จีนเริ่มกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ กลุ่มคนวัยทำงานลดน้อยลง นโยบายลูกคนเดียวจึงถูกผ่อนปรนลงไปเรื่อยๆ โดยให้คนบางกลุ่มหรือบางพื้นที่มีลูกสองคนได้ ก่อนที่จะอนุญาตให้คู่สามี-ภรรยาชาวจีนทุกคู่มีลูก 2 คนได้ทั่วประเทศเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมานี้เอง
หลังรัฐบาลจีนเปิดทางให้ประชาชนมีลูกได้ 2 คนเพื่อเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น แม้ช่วง 2 ปีแรกจะมีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพิ่มขึ้น แต่หลังจากนั้นจำนวนเด็กเกิดใหม่ก็หล่นฮวบลงอีก และจนถึงขณะนี้ก็ยังคงมีแนวโน้มลดต่ำลงเรื่อยๆ ทุกๆ ปี
คำถามสำคัญก็คือ “นโยบายลูก 3 คน” จะสามารถเปลี่ยนทิศทางแนวโน้มเด็กแรกเกิดที่ลดต่ำลงให้เพิ่มขึ้นได้หรือไม่?
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่า อัตราการเกิดของประชากรในแต่ละปีที่ลดต่ำลงนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “กฎหมายบังคับการวางแผนครอบครัว” แต่เป็นผลมากจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อประเทศพัฒนาขึ้น ประชากรให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่าการมีทายาท ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา หรือการมีอาชีพที่มั่นคงเลี้ยงตัวเองได้
แนวโน้มลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้วกับประเทศเพื่อนบ้านของจีนอย่าง “ญี่ปุ่น” รวมถึง “เกาหลีใต้” ที่มีอัตราการเกิดที่ลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมา แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามให้สวัสดิการต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนผลิตทายาทให้เพิ่มขึ้นก็ตาม
สำหรับประเทศจีนอาจต้องเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงมากกว่า เนื่องจากจำนวนประชากรเพศชายที่มากกว่าเพศหญิงอย่างมาก ล่าสุดในปี 2020 ประชากรชายมีมากกว่าประชากรหญิงไปมากถึง 34.9 ล้านคนไปแล้ว
นำไปสู่ปัญหาใหญ่สำหรับผู้ชายชาวจีนก็คือการหา “ภรรยา” ที่ยากลำบากตั้งแต่แรกนั่นเอง
อีกเรื่องที่สำคัญก็คือคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ “ผู้หญิง” ที่เลือกที่จะอยู่เป็นโสด หรือหากแต่งงานแล้วก็เลือกที่จะ “ไม่มีลูก” มีสาเหตุสำคัญมาจากเรื่องการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นจำนวนโรงเรียนอนุบาลที่มีน้อย ค่าเล่าเรียนที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก อาชีพครูที่ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ ค่าตอบแทนที่ไม่สมดุลกับแรงกดดันในอาชีพที่ต้องรับผิดชอบชีวิตของเด็กจำนวนมาก ก็ทำให้คนเลือกที่จะทำอาชีพครูน้อยลง
นั่นจึงทำให้ครอบครัวชาวจีนจำนวนมากในปัจจุบันตัด “ความกังวล” ที่จะเกิดขึ้นจากการมีลูกด้วยการ “ไม่มีลูก” ในท้ายที่สุด และนั่นก็ทำให้มองได้ว่า นโยบายล่าสุดที่รัฐบาลเปิดทางให้ชาวจีนมีลูกได้ 3 คนนั้นดูจะเป็นการ “แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” และคงไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องจำนวนประชากรได้อย่างแท้จริงนั่นเอง