เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ /ดูหนัง อ่านหนังสือ

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

ดูหนัง อ่านหนังสือ

 

อยู่บ้านอ่านหนังสือชื่อ “ภาพยนตร์ ยาบำรุงผู้สูงอายุ” สนุกด้วยชอบดูหนังอยู่แล้ว กับการคุยหลังดูหนังจบด้วยกัน ยิ่งชอบใหญ่ ด้วยเคยใช้วิธีนี้ในค่าย “บันไดกวี” ของเซเว่นบุ๊คมาประจำก่อนจะเจอวิกฤตโควิดวันนี้

หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานกิจกรรมของหอภาพยนตร์ (องค์กรมหาชน) ร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และบริษัท ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม (จำกัด)

มีวิทยากรสับเปลี่ยนในหนังแต่ละเรื่องมาร่วมพูดคุยหลังหนังจบ พร้อมผู้ชมเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย

วิทยากรยืนพื้นมี ผศ.นพ.สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย และคุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ นอกนั้นมีร่วมเป็นแต่ละเรื่องไป โดยมีคุณสัณห์ชัย โชติรสเศรณี เป็นผู้ดำเนินรายการ

ขอเล่าถึงเรื่องที่ชอบดูมาหลายครั้งแล้วก่อนละกัน

 

คือเรื่อง RODE HOME หนังจีนของจางอี้โหมว ผู้กำกับฯ มือหนึ่ง เรื่องนี้นำแสดงโดยจางซิยี่ นางเอกยอดนิยมอีกเช่นกัน

เรื่องย่อคืองานศพพ่อซึ่งลูกชายได้กลับมารู้เรื่องราวความรักของพ่อ-แม่อันน่าประทับใจยิ่ง ในช่วงเวลาปฏิวัติวัฒนธรรมของสังคมจีน เรื่องนี้จาซิยี่นางเอกแสดงเป็นแม่ช่วงวัยแรกรุ่นได้ดี ซื่อบริสุทธิ์ มีเสน่ห์สุดๆ

ภาพชาวบ้านซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์พ่อ ร่วมหามศพกลับสู่บ้าน คุณหญิงจำนงศรีกล่าวว่า

“รู้สึกมันเทียบกับชีวิตได้เยอะนะ ชีวิตเราทั้งหมดเราผ่านฤดูกาลต่างๆ ไม่ใช่ฤดูของวัยนะ ฤดูของความยากลำบาก ความสดใส ชีวิตมันอย่างนั้นหมด แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ THE RODE HOME ที่เน้นว่าเขาอยากจะแบบศพให้ผ่านเทือกเขา ข้ามสะพาน ข้ามทุ่งหญ้า มันเหมือนมันเป็นถนนชีวิต คิดว่ามันมีความหมายซ้อนอยู่ในสัญลักษณ์มากเลยในหนังเรื่องนี้”

ฉากหนึ่งติดใจเราจนวันนี้คือฉากช่างปะชามด้วยลวดทองแดง เขาชูลวดขึ้นแล้วพูดว่าลวดเส้นเดียวนี่ก็แพงกว่าชามใบนี้แล้ว ชามใบนี้คงสำคัญมาก หรือคนที่ใช้ชามใบนี้คงเป็นคนสำคัญ พลันมีเสียงแม่ผู้ตาบอดพูดมาจากหลังผนังบ้านโดยไม่เห็นตัวว่า

“คนที่เคยใช้ชามใบนี้เขาจากไปแล้ว และเอาหัวใจของลูกสาวฉันไปด้วย”

ประโยคเดียวแต่สรุปเรื่องแทบจะทั้งหมดที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้ นี่คือความคมของบท

 

อีกเรื่องคือ The Bridges of Madison County กำกับฯ และนำแสดงโดยคลิ้นต์ อีสต์วูด นางเอกคือ เมอรีล สตรีฟ

เป็นเรื่องของภรรยาชาวไร่อยู่กับสามีและลูก มีเหตุเผอิญให้พบกับหนุ่มช่างภาพเกิดรักกันขึ้นมา เธอต้องตัดสินใจจะอยู่กับครอบครัวหรือจะทิ้งครอบครัว

คุณกนกวรรณ กนกวนาวงศ์ วิทยากรรับเชิญให้ทรรรศนะว่า

“หนังปูเรื่องไว้ว่า ฟรานเชสกาตกอยู่ในสถานการณ์ที่สั่นคลอนได้ง่าย จากการใช้ชีวิตเป็นแม่และเมียที่สมบูรณ์แบบในบรรทัดฐานของสังคม ปฏิบัติหน้าที่ เช้ามาเตรียมอาหารให้คนในครอบครัว แต่ตัวตนของฟรานเชสกากลับกลายเป็นอากาศธาตุในบ้าน เพราะสามีและลูกกลับไม่ใส่ใจเธอเลย ตัวอย่าง ฉากฟรานเชสกากำลังฟังเพลงอยู่ดีๆ ลูกสาวเดินลงมาปุ๊บเปลี่ยนสถานีวิทยุทันทีโดยไม่สนใจแม่”

“การมาถึงของโรเบิร์ต ช่างภาพหนุ่มใหญ่ ไร้พันธะ ทำให้ฟรานเชสการู้สึกถึงการมีตัวตนอีกครั้ง ความรักจึงได้เกิดขึ้นอีกครั้ง หรือเกิดเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เดินตามทำนองคลองธรรมของฟรานเชสกาเสียด้วยซ้ำ”

“บุคลิกของโรเบิร์ตช่างภาพที่มาพร้อมกับสายตาที่มองเห็นความงามจากทุกสิ่ง และถ่ายทอดความงามออกมาเป็นภาพถ่าย การที่ฟรานเชสกาได้ถูกมองเห็นและความงามของเธอปรากฏอยู่ในภาพถ่ายดังเช่นในฉากที่ลูกๆ ของเธอค้นภาพจากอดีตและพบว่าฟรานเชสกาในรูปถ่ายโดยโรเบิร์ตนั้นสวยแบบที่ลูกๆ เองไม่เคยคิดว่าแม่จะสวยแบบนั้นมาก่อน”

“มันบ่งบอกถึงสถานการณ์ที่ผู้หญิงคนนี้ ‘ถูกมองเห็น’ ในบทบาทหรือชีวิตที่นอกเหนือจากการเป็นแม่และเมียอย่างที่ผ่านมา ในภาวะนี้จึงมีเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความรักนอกสมรส เมื่อโรเบิร์ตเข้าหา ฟรานเชสกาจึงตอบรับ”

เป็นทรรศนะของผู้ชมซึ่งเป็นวิทยากรรับเชิญ เป็นมุมมองที่ช่วยขยายความเข้าใจได้ครอบคลุมและลึกซึ้ง

 

อีกเรื่องเป็นหนังญี่ปุ่นคือ DEPARTURES ผู้กำกับฯ คือ โยจิโร ทากิตะ

เป็นเรื่องของนักดนตรีสีเชลโล่ที่ต้องเปลี่ยนอาชีพมาเป็นสัปเหร่อแต่งศพก่อนลงโลง เรื่องนี้มีคุณดนู ฮันตระกูล นักดนตรีหัวหน้าวงระดับยอดฝีมือมาเป็นวิทยากรรับเชิญ ให้ความเห็นว่า การที่หนังเลือกให้พระเอกเล่น “เชลโล่” อาจจะเป็นเพราะเสียง (ทุ้ม) ของเครื่องดนตรีมีผลให้สะเทือนใจกว่าเสียงเครื่องอื่นๆ และให้ความเห็นว่า

“สิ่งที่พบเห็นอยู่ทั้งเรื่อง คือเรื่องของการที่แต่ละคนที่ดำเนินชีวิตไป มันก็มีหลายๆ สิ่งที่ดี หลายๆ สิ่งก็ไม่ค่อยจะดีนัก หลายๆ สิ่งก็ถูกมากเลย บางสิ่งก็ผิดอย่างมหันต์ ซึ่งมันก็เรื่องธรรมดาที่ว่าคนจะต้องผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ไปในเส้นทางชีวิต แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่า เรามักจะไม่ค่อยตระหนักนะครับว่ามันเป็นธรรมดา แล้วเราก็มักจะฉุนเฉียวกับตัวเราเอง แล้วก็กับคนรอบข้าง เมื่อมีเหตุให้เราเสียอารมณ์ ไม่ถูกใจ สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องประเด็นที่ว่า เมื่อคนเราเป็นเสียอย่างนี้แล้ว ทั้งตัวเราเองและคนรอบข้าง สิ่งที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้ก็คือ การให้อภัยและความเข้าใจ และสุดท้ายก็คือความรัก ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ทำสิ่งเหล่านี้ ชี้ให้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้ดีมากครับ”

คุณหมอสุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย ได้ชี้จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือบทบาทของพระเอกในงานอาชีพสับปะเหร่อ ที่เป็นเหมือนพยานผู้รู้เห็นปัญหาของมนุษย์ เพราะทุกศพที่เป็นลูกค้าเขาล้วนมีประเด็นชีวิตที่มาเผยในวาระสุดท้ายกันทั้งสิ้น

โดย ผศ.นพ.สุขเจริญชี้ว่า หนังแสดงชัดเจนว่า นอกจากจะเป็นศิลปะแล้ว พิธีศพยังเป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้สึกของคนในครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่

เราเองชอบฉากนี้มาก คือฉากที่ผู้แต่งศพอย่างประณีตพิถีพิถันจนเห็นความงามของร่างไร้วิญญาณได้อย่างมีชีวิตชีวายิ่ง เสมือนดังจะบอกถึงความสำคัญว่า

กำลังมอบชีวิตจากร่างไร้ชีวิตมาสู่ผู้ยังมีชีวิตอยู่นี้ให้ช่วยดูแลกันด้วย

ขอจงทุกผู้พึงตระหนักเถิด