โฟกัสพระเครื่อง : พระกริ่งจาตุรงคมุนี พระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศนเทพวราราม

(ซ้าย) พระมงคลราชมุนี (สนธ์ ยติธโร) (ขวา) พระกริ่งจาตุรงคมุนี

โฟกัสพระเครื่อง–(ฉัตรชัย สุนทรส)

โคมคำ/[email protected]

 

พระกริ่งจาตุรงคมุนี

พระมงคลราชมุนี (สนธิ์)

วัดสุทัศนเทพวราราม

 

“พระมงคลราชมุนี” (สนธิ์ ยติธโร) หรือที่ผู้คนส่วนใหญ่เรียกขานในสมณศักดิ์เดิมว่า “ท่านเจ้าคุณศรี”

เป็นศิษย์ในสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศนเทพวราราม ที่ทรงประสาทศิลปวิทยาการอันล้ำค่า คือตำรับและพิธีกรรมการสร้างพระพุทธรูปและพระกริ่ง

สร้างวัตถุมงคลพระเครื่องและพระกริ่งรุ่นต่างๆ ล้วนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

พระกริ่งจาตุรงคมุนี เป็นอีกรุ่นที่ได้รับการกล่าวขาน

สร้างขึ้นเพื่อสมนาคุณแก่ผู้ที่บริจาคทรัพย์ร่วมสร้างพระอุโบสถ วัดศรีจอมทอง (วัดตีนโนน) กิ่ง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี และถวายพระนามว่า “พระกริ่งจาตุรงคมุนี”

วันที่สร้าง เริ่มประกอบพิธีสวดมนต์ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2490 เวลา 17.00 น. รุ่งขึ้นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2490 เวลา 09.36 น. ฤกษ์เททอง ผู้ช่วยจัดสถานที่คือพระครูวินัยกรณโสภณ (หนู) นายช่างผู้ดำเนินการหล่อพระคือ นายช่างหรัส พัฒนางกูร แห่งบ้านช่างหล่อ

พระกริ่งรุ่นนี้หล่อตันทั้งองค์ เจาะก้นบรรจุกริ่ง ขนาดประมาณเท่าแท่งดินสอ แล้วอุดช่องที่บรรจุอีกครั้งหนึ่ง ใต้ฐานมีทั้งแบบเรียบหรือแบบก้นกระทะ วรรณะเหลืองปนแดง พิมพ์ของพระกริ่งรุ่นนี้ ท่านเจ้าคุณศรีให้ช่างหรัสถอดพิมพ์จากพระกริ่งจีนเล็ก ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ได้ประทานไว้

แก้ไขพิมพ์และตกแต่งพิมพ์เพิ่มเติมบางส่วน เนื้อที่ใช้สร้าง มีทองชนวนของพระกริ่งรุ่น พ.ศ.2485 ผสมกับทองโลหะ จำนวนที่สร้าง 500 องค์

สถานที่ประกอบพิธีสวดพุทธาภิเษก ที่พระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม โดยมีพระธรรมวโรดม (อยู่ ญาณโณทัย) วัดสระเกศฯ เป็นผู้จุดเทียนชัย พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (โสม ฉันโน) วัดสุทัศน์ เป็นผู้ดับเทียนชัย

พระคณาจารย์ผู้เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก อาทิ พระธรรมวโรดม (อยู่), หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก, พระปริยัติบัณฑิต (ดำ) วัดปทุมคงคา, พระสุธรรมธีรคุณ (วงศ์) วัดสุทัศนเทพวราราม, พระครูสุนทรศีลาจาร วัดสุทัศนเทพวราม, พระปลัดเส่ง วัดกัลยาณมิตร, พระครูสมุห์ไพฑูรย์ วัดโพธิ์นิมิต, พระศรีสมโพธิ (เสงี่ยม) วัดสุทัศน์ ฯลฯ

เป็นหนึ่งในพระกริ่งวัดสุทัศน์ที่ได้รับความนิยมสูง

 

นามเดิม สนธิ์ พงศ์กระวี เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2446 ที่ ต.บ้านป่าหวาย กิ่ง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี

บิดา-มารดาชื่อนายสุขและนางทองดี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 11 คน

อายุ 11 ขวบ บิดาถึงแก่กรรม มารดาจึงนำมาฝากไว้กับพระภิกษุบุญ (หลวงตาบุญ) ซึ่งเป็นญาติ ที่วัดสุทัศนเทพวราราม คณะ 15 เพื่อให้ศึกษาอักขระสมัยฝ่ายบาลี ตามคตินิยมที่เล่าเรียนกันในยุคนั้น

อายุ 13 ปี บรรพชาโดยมีพระมงคลราชมุนี (ผึ่ง ปุปผโก) เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูปลัดสุวัฒนพรหมจริยคุณเป็นพระอุปัชฌาย์

ศึกษาพระปริยัติธรรมเล่าเรียนต่อไปตามปกติ จนถึงเดือนเมษายน 2459 ย้ายไปอยู่ที่วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ในความปกครองของพระพุทธิวิถีนายก เจ้าคณะจังหวัดนครปฐมในยุคนั้น

ตราบจนถึง พ.ศ.2460 จึงย้ายกลับมาอยู่ที่วัดสุทัศน์ตามเดิม ศึกษาธรรมวินัย

พ.ศ.2464 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี

พ.ศ.2465 สอบได้นักธรรมชั้นโท

พ.ศ.2466 เข้าพิธีอุปสมบท โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทโว) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระพรหมมุนีเป็นพระอุปัชฌาย์, พระมงคลราชมุนี (ผึ่ง ปุปฺผโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูปลัดสุวัฒนพรหมจริยคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระพิมลธรรม (นาค สุมมนาโค) เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นที่พระเทพเวทีเป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับนามฉายาว่า ยติธโร

พ.ศ.2468 สอบเปรียญธรรมได้ 4 ประโยค พร้อมทั้งได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูธรรมรักขิต ฐานานุกรมในสมเด็จพระพุฒาจารย์

 

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2469 เวลาประมาณ 04.00 น.เศษ ประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ถูกคนวิกลจริตฟันท่านด้วยมีดตอก ได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่ง

ผลจากการถูกทำร้ายอย่างสาหัสในคราวนั้น ทำให้ท่านอาพาธหนักไปพักหนึ่งประมาณ 3 เดือน เมื่อหายจากการอาพาธ กลับคืนอยู่ที่วัดสุทัศน์ตามเดิม และเมื่อมาถึงได้ขึ้นไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทโว) ทรงรับสั่งว่า “อ๋อ! มหาสนธิ์ เธอหายดีแล้วหรือ” แล้วท่านก็รับสั่งเรียกให้เข้าไปใกล้ ทรงจับศีรษะท่านไว้แล้วทรงเป่าให้ 3 ครั้ง พร้อมกับทรงรับสั่งต่อไปอีกว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่มีอะไรอีกแล้ว”

พ.ศ.2474 สอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 7 ประโยค

รับตำแหน่งฐานานุกรมต่างๆ ตามลำดับ พร้อมกับได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ รวมทั้งโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา ฯลฯ

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2481 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระศรีสัจจญาณมุนี

วันที่ 8 ธันวาคม 2493 ได้เลื่อนจากตำแหน่งพระราชาคณะสามัญ ขึ้นเป็นพระราชาคณะเสมอชั้นราชที่ พระมงคลราชมุนี

 

เป็นผู้เรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ หลายแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ) พระอุปัชฌาย์ ทรงประสาทศิลปวิทยาการ คือตำรับและพิธีกรรมการสร้างพระพุทธรูปและพระกริ่งให้จนหมดสิ้น

สืบสานพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้ในเวลาต่อมาอย่างถูกต้องตามตำราทุกประการ

ต่อมาภายหลังเมื่อว่างในด้านศึกษา กลับเพิ่มภารกิจได้รับนิมนต์ให้ไปประกอบพิธีกรรมต่างๆ เสมอเป็นเนืองนิตย์ รวมทั้งต้องนั่งปรกเข้าพิธีสวดพุทธาภิเษก นั่งปรกไปจนกว่าจะได้ฤกษ์เททอง

การประกอบพิธีเช่นนี้แต่ละครั้งทำให้สุขภาพค่อยๆ เสื่อมทรุดลงทุกที

ท้ายที่สุด เมื่ออาการอาพาธกำเริบ ทรุดหนัก จนสุดที่คณะแพทย์จะเยียวยา คืนวันที่ 16 มกราคม 2495 เวลา 21.20 น.

มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ