แม้แรงต้านแรง ‘ธรรมนัส’ ยังฉลุยเลขาฯ พปชร. จับตา ‘เดอะซัน’ ขนสามมิตรย้ายรัง/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

แม้แรงต้านแรง

‘ธรรมนัส’ ยังฉลุยเลขาฯ พปชร.

จับตา ‘เดอะซัน’ ขนสามมิตรย้ายรัง

 

ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย กรณีที่ประธานรัฐสภาส่งความเห็นของ ส.ส. 51 คน ขอให้วินิจฉัยความเป็น ส.ส. และความเป็นรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยต้องคำพิพากษาคดียาเสพติดในต่างประเทศ

โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิฉัยว่า ศาลต่างประเทศไม่ต้องบังคับหรือยอมรับคำพิพากษาของศาลไทย ทำให้อำนาจอธิปไตยทางศาลของไทยถูกกระทบกระเทือนอย่างมีนัยสำคัญ แม้ข้อเท็จจริงในคดีฟังได้ว่าผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาของศาลแขวงรัฐนิวเซาธ์เวลส์ เครือรัฐออสเตรเลีย ก่อนสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แต่ไม่ใช่คำพิพากษาของศาลไทย ผู้ถูกร้องจึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(10) สมาชิกภาพ ส.ส.ไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(10) และเมื่อได้วินิจฉัยประเด็นแรกไว้แล้วว่าผู้ถูกร้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98(10) ความเป็นรัฐมนตรีจึงไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160(6) และมาตรา 98(10) ด้วยมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง

ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ทุกคนจะต้องน้อมรับคำวินิจฉัยของศาล

แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า บรรทัดฐานที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้จะส่งผลอย่างไรต่อไป เพราะแม้จะเคยทำผิดจริงตามที่ถูกกว่าหา และถูกตัดสินให้จำคุกไปแล้ว โดยศาลแขวงรัฐนิวเซาธ์เวลส์ เครือรัฐออสเตรเลีย แต่ไม่ใช่คำตัดสินของศาลไทย จึงไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ…

จึงถือเป็นการฟอกขาวให้ธรรมนัส พรหมเผ่า ปราศจากมลทินใดๆ อย่างที่เคยถูกกล่าวหามาโดยตลอด ถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ที่ถูกฝ่ายค้านนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิฉัย

ไม่เพียงแต่เป็นการฟอกขาวให้กับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหการณ์ รวมถึงสถานภาพความเป็น ส.ส.เท่านั้น

แต่ยังฟอกขาวให้กับตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มสามมิตรมีการระบุว่า ถ้า ร.อ.ธรรมนัสจะมารับตำแหน่งเลขาธิการพรรค ควรจะรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะเสียก่อน เพราะหากรับตำแหน่งไปแล้ว ศาลวินิจฉัยเป็นลบ จะไม่สง่างามต่อการเข้าสู่ตำแหน่ง

 

เมื่อคำวินิจฉัยออกมาเป็นเช่นนี้ จึงไม่มีอะไรที่จะฉุดรั้งการเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐได้อีก

ซึ่งเดิมเคยมีการกำหนดประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐไว้ในวันที่ 18 เมษายน โดยจะมีการแทรกวาระปรับโครงสร้างเพื่อเปลี่ยนตัวกรรมการบริหารพรรคไปในคราวเดียว แต่ถูกเลื่อนออกไปก่อนเพราะติดสถานการณ์โควิด

อย่างไรก็ตาม งานนี้นกรู้บอกว่า การเลื่อนประชุมในครานั้น ไม่เกี่ยวกับโควิด

แต่เป็นเพราะจำนวนมือที่จะยกให้กับเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐคนใหม่นั้นยังไม่เพียงพอที่จะคว่ำ ‘เสี่ยแฮงค์’ อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคคนปัจจุบันลงได้

ต้องไม่ลืมเดิมทีสมาชิกที่มาร่วมประชุมใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ ส่วนใหญ่ถูกขนมาจากจังหวัดชัยนาท และสมุทรปราการ ผสานเครือข่ายพันธมิตรที่ร่วมด้วยช่วยกัน เสียงฝั่งเสี่ยแฮงค์จึงเข้มแข็ง

จะเปลี่ยนแปลงได้ต้องแก้ปมนี้ก่อน

แผนที่เริ่มดำเนินการและมีการฟอลโลว์มาอย่างต่อเนื่อง คือการสั่ง ส.ส.ในสังกัด เกณฑ์สมาชิกพรรคเพิ่มมากขึ้น จะเห็นว่าตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา จำนวนสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะมีการตั้งเป้า ส.ส. 1 คนจะต้องหาสมาชิกในพื้นที่อย่างน้อยให้ได้ 150 คน โดยผู้ที่จะเป็นสมาชิกรายปี ไม่มีค่าใช้จ่ายในการสมัครสมาชิกแต่อย่างใด เพราะมีเจ้ามือจ่ายให้อยู่แล้วโดยตั้งเป้าจะให้ได้สมาชิกอย่างน้อย 30,000 คน มาล้ม ‘เสี่ยแฮงค์’ ออกจากเก้าอี้เลขาธิการพรรค

กระทั่งเครือข่ายในพรรคพลังประชารัฐเองที่เอาใจช่วยเสี่ยแฮงค์ ต้องการให้คณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบว่าสมาชิกที่เพิ่มมาใหม่นั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ในเวลาอันรวดเร็วจริงหรือไม่

แต่ก็คงขัดขวางยาก ดังนั้น เมื่อเปิดให้ประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคพลังประชารัฐ งานนี้มือที่จะยกให้กับเลขาธิการพรรคคนใหม่คงจะได้ถึงฝั่งฝัน สมใจเจ้าของวลี “ผมเป็นเส้นเลือดใหญ่รัฐบาล ล้มผมได้ รัฐบาลก็สั่นคลอน” เสียที

ว่ากันว่า งานนี้มีบิ๊กดีลที่มาจากว่าที่เลขาธิการพรรคคนใหม่ หากได้เป็นเลขาธิการพรรคสมใจ ก็จะขอนั่งรัฐมนตรีว่าการสักครั้งในช่วงรัฐบาลของ ‘ลุงตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยังเหลือเวลาอีกร่วม 2 ปี จึงอยู่ที่ ‘ลุงตู่’ จะเออออด้วยหรือไม่

 

นาทีนี้แม้ ‘ร.อ.ธรรมนัส’ ก็ต้องสู้กับกระแสสังคมต่อไป ภายใต้การการันตีของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีการเปรียบเปรยว่า เป็นเพียงอีนทรีถลาลม ยังไม่ถึงขั้นปีหัก เพราะเขาจะกลับมาได้ทุกครั้ง

ไม่มีใครทำอะไร ‘ร.อ.ธรรมนัส’ ได้

อย่างไรก็ตาม ฝั่ง ‘เสี่ยแฮงค์’ ยังไม่ถอดใจ โดยเชื่อว่าจะได้รับความไว้วางใจจากนายกฯ ต่อไปและมากขึ้น ดูได้จากการได้รับมอบหมายงานต่างๆ และการสั่งงานโดยตรงจากนายกฯ

และมีการยืนยันจากผู้ใหญ่ในรัฐบาลอย่างชัดเจนแล้วว่า แม้จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเลขาธิการพรรค แต่ก็ยังอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป

เผลอๆ อาจจะได้เป็นเลขาธิการพรรคใหม่ที่เตรียมไว้สำรองด้วยก็ได้!!!

เพราะคนในพรรควิเคราะห์ว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐถูกมองว่าเป็นพรรคที่มีปัญหาจากการทะเลาะกันไป-มาภายในพรรค และส่วนใหญ่ ส.ส.ก็มักจะมีข่าวติดลบอยู่เสมอ

หากมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ไม่รู้พรรคจะเดินไปทางไหน

ดังนั้น กลุ่มสามมิตรอาจจะกระโจนหนีไปพรรคใหม่ เพราะเข็ดกับการติดร่างแหยุบพรรคอย่างบ้านเลขที่ 111 ที่ถูกตัดสิทธทางการเมืองกันมาแล้วถ้วนหน้า

และต้องไม่ลืมว่ากลุ่มวังน้ำยมเดิมที่อยู่พรรคไทยรักไทย เคยมีจำนวน ส.ส.มากถึง 120 คน ซึ่ง ‘เดอะซัน’ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รองหัวหน้าพรรค และ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรองหัวหน้าพรรค ก็ยังสานสัมพันธ์อันดีกับอดีตสมาชิกวังน้ำยม ที่ไปอาศัยอยู่ตามพรรคต่างๆ

โดยเฉพาะ ส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทยที่อาจจะกลับมาร่วมงานกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะไปดึง ส.ส.พรรคเพื่อไทยมาร่วมขบวนเสียทีเดียว

 

เลยไม่รู้ว่าการระดมสมาชิกพรรคเพิ่มเพื่อมาชิงเลขาฯ พรรคในครั้งนี้ จะเป็นการเสียค่าใช้จ่ายเก้อหรือไม่ เพราะท่าทางว่าที่เลขาธิการพรรคจะชนะแบบไร้คู่แข่ง เพราะไม่มีใครแข่งด้วย

แต่หากสามมิตรจะทิ้งรังจริง เลือกตั้งครั้งหน้า พรรคพลังประชารัฐคงจะต้องร้อนๆ หนาวๆ เพราะยังมี ส.ส.อีกไม่น้อยที่อยู่ในกลุ่มสามมิตร

และหากพรรคใหม่ที่ตั้งขึ้น มีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าพรรคพ่วงมาด้วย รับประกันได้ว่า พรรคพลังประชารัฐเดิมอาจจะต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพราะการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา ต้องไม่ลืมว่าพรรคพลังประชารัฐเอาชนะมาได้เป็นพรรคลำดับที่ 2 ได้นั้น เพราะความนิยมชมชอบในตัว ‘ลุงตู่’ ไม่ใช่เลขาธิการพรรค…

สุดท้าย อยู่ที่เดอะซันจะตัดสินใจอย่างไร!!!