ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
โจ ไบเดน
กับ ‘100 วันแรก’ ประธานาธิบดีสหรัฐ
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ของประเทศ เพิ่งดำรงตำแหน่งครบ 100 วันเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา
การยึดถือเอาช่วงเวลา 100 วันเป็นดัชนีชี้วัดผลงานในการเริ่มต้นเป็นผู้นำสหรัฐอเมริกามีขึ้นตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดีแฟรงคลิน รูสเวลต์ ผ่านไป 90 ปี ธรรมเนียมปฏิบัตินั้นก็ยังคงอยู่
ในช่วง 100 วันแรกของไบเดนนั้น ถูกมองว่ามีความสำเร็จเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับชาวอเมริกันทั้งประเทศเท่าใดนัก
โดยผลสำรวจความนิยมของประชาชน แม้ไบเดนจะได้รับคะแนนเสียงถึง 57 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน
แต่ความนิยมระดับนี้นับเป็นคะแนนนิยมในช่วง 100 วันแรกที่อยู่ในระดับต่ำ หากเทียบกับค่าเฉลี่ยความนิยมในช่วง 100 วันแรกของประธานาธิบดีสหรัฐในอดีต
โดยไบเดนอยู่ในดันดับที่ 4 จากท้ายตาราง ขณะที่ทรัมป์ยึดตำแหน่งท้ายตารางที่ 41 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่บารัก โอบามา ได้สูงถึง 65 เปอร์เซ็นต์ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 100 วันแรก
สําหรับโจ ไบเดน ผลงานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในช่วง 3 เดือนกว่าๆ หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐก็คือการจัดการกับการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในช่วงเวลาที่ไบเดนรับตำแหน่ง อัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ของชาวอเมริกันนั้นอยู่ในระดับ 3,000 คนต่อวัน เทียบกับอัตราการเสียชีวิตในเวลานี้เฉลี่ย 7 วันอยู่ที่ 707 รายเท่านั้น และยังมีแนวโน้มลดลงอีก และนั่นเป็นผลงานจากนโยบายฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ไบเดนประกาศไว้ในวันรับตำแหน่งว่าในช่วง 100 วันแรก จะฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนจำนวน 100 ล้านโดส แต่เวลานี้มีวัคซีนมากถึง 200 ล้านโดสที่ฉีดให้กับประชาชนไปแล้ว คิดเป็นสัดส่วนประชากรชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่มากถึง 52 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส ส่งผลให้สหรัฐอเริกาเป็นหนึ่งในชาติที่ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
อีกหนึ่งความสำเร็จของไบเดน ก็คือการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่พังทลายลงจากการแพร่ระบาด โดยรัฐบาลสหรัฐได้ผ่านงบประมาณมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นทั้งเงินช่วยเหลือที่โอนให้ชาวอเมริกันโดยตรง ผลประโยชน์จากการว่างงาน งบฯ ช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ งบฯ สนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่น รวมไปถึงเงินสงเคราะห์บุตรที่ได้รับการประมาณการว่าสามารถลดระดับความยากจนในกลุ่มเยาวชนได้ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
การอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจทำให้นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถโตได้ถึงระดับ 6 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2021 ระดับที่ไม่ได้เห็นกันตั้งแต่ทศวรรษที่ 80 ขณะที่อัตราการว่างงานมีแนวโน้มลดต่ำลงเรื่อยๆ ผู้ประกอบการเริ่มเปิดธุรกิจได้อีกครั้ง ดัชนีตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้น
ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นผลดีต่อผลงาน 100 วันแรกของประธานาธิบดีไบเดน
นอกเหนือจากปัญหาวิกฤตโควิด-19 ที่ไบเดนต้องแก้แล้ว ยังมีปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในช่วง 100 วันแรกของไบเดนเช่นกันนั่นก็คือ “ปัญหาผู้อพยพ”
หลังจากการเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 บวกกับนโยบายต่อผู้อพยพที่เข้มงวดของโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปีก่อน เวลานี้ กลุ่มผู้อพยพชาวอเมริกากลางมองว่ารัฐบาลใหม่ของโจ ไบเดน จะเปิดกว้างในการรับผู้อพยพมากขึ้น ส่งผลให้ผู้อพยพผิดกฎหมายเพิ่มจำนวนสูงขึ้นจนทำสถิติใหม่
สำหรับกรณีนี้ แม้ไบเดนจะยกเลิกมาตรการเข้มงวดและทารุนกับผู้อพยพในยุคทรัมป์ลงไปบ้างแล้ว แต่หากจำนวนผู้อพยพเพิ่มสูงขึ้นและกระทบกับชุมชนบริเวณชายแดนติดกับประเทศเม็กซิโก จนกลายเป็นข่าวในหน้าสื่อมากขึ้น
นั่นอาจเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาให้กับประธานาธิบดีไบเดนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ผลงานของไบเดนในช่วง 100 วันแรกที่ถูกจับตามองยังมีเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” ด้วย โดยไบเดนได้นำสหรัฐกลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีส เพื่อวางเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ข้อตกลงที่ทรัมป์นำสหรัฐถอนตัวออกมาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ไบเดนยังประกาศตั้งเป้าให้สหรัฐอเมริกาลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงต่ำกว่าระดับที่เกิดขึ้นในปี 2005 คิดเป็นสัดส่วน 50 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 ด้วย
ในเรื่อง “การต่างประเทศ” ไบเดนให้คำมั่นว่าจะเลิกใช้นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ที่ดำเนินการในสมัยโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างที่เคยหาเสียงไว้ มีการถอนทหารสหรัฐออกจากอัฟกานิสถาน ที่มีมาต่อเนื่องตั้งแต่ยุคทรัมป์ ขณะที่การนำสหรัฐกลับสู่โต๊ะเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน หลังจากทรัมป์นำสหรัฐถอนตัวออกมาก็ยังไม่คืบหน้า
อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นความพยายามในการสร้างจุดยืนในฐานะชาติผู้นำประชาธิปไตย ในการเป็นปฏิปักษ์กับประเทศรัฐบาลเผด็จการ เช่น การกลับมาดำเนินมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย รวมไปถึงการโจมตีรัฐบาลจีนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
ประเด็นสุดท้ายคือเรื่อง “การค้า” ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวที่ไบเดนเดินหน้าไปได้อย่างเชื่องช้าในช่วง 100 วันแรก
นักการเมืองผู้มีจุดยืนสนับสนุนระเบียบโลกแบบเก่า ยังไม่ได้สั่งให้การให้มีการยกเลิกการตั้งกำแพงภาษีในสงครามการค้ากับจีน
และยิ่งกว่านั้นยังมีการตั้งกำแพงภาษีสินค้าอะลูมิเนียมจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ทรัมป์ ยกเลิกไปในวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่ง
นอกจากนี้ ไบเดนยังขู่จะตั้งกำแพงภาษีกับอังกฤษเพื่อตอบโต้การเก็บภาษีบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐด้วยเช่นกัน
นั่นคือผลงานใน 100 วันแรกของโจ ไบเดน ที่พอจะบอกได้ถึงแนวทางการบริหารงานเพื่อชาวอเมริกัน รวมไปถึงแนวทางการดำเนินนโยบายในเวทีโลกที่อาจยังคงไว้ซึ่งความแข็งกร้าว แม้จะลดระดับลงจากยุคอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไปบ้างก็ตาม