ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ไวรัสโควิดเป็นหายนะทางสุขภาพที่สร้างวิกฤตเศรษฐกิจแก่ประเทศมาแล้วหนึ่งปี
ยิ่งการระบาดครั้งล่าสุดที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเฉียดวันละ 3 พัน ยิ่งทำให้คนทั้งประเทศหวาดผวากับการระบาดของไวรัสมากขึ้นไปอีก
เพราะแนวโน้มที่สถานการณ์ทุกอย่างจะเลวร้ายลงมีมากเหลือเกิน
คิดง่ายๆ ตอนโควิดระบาดระลอกสองและเริ่มต้นระบาดระลอกสาม คนบางกลุ่มพยายามโจมตีว่าคนไทยปอดแหกเรื่องนี้มากไป, รถชนตายอันตรายกว่าไวรัส, เราต้องอยู่กับสังคมที่เชื้อลามให้ได้ ฯลฯ
แต่พอมาถึงเดือนเมษายนที่ผู้ติดเชื้อสะสมเฉียด 6 หมื่น ก็ไม่มีใครพูดอะไรแบบนั้นอีกเลย
เหตุการณ์ที่คนติดโควิดแล้วรอหมอจนตายคาบ้านทำให้คนจำนวนมากกังวล เพราะนอกจากโควิดรอบนี้จะลามรุนแรง จำนวนผู้ติดเชื้อยังมากจนโรงพยาบาลมีเตียงรับผู้ติดเชื้อไม่พอ หมอ พยาบาลดูแลผู้ป่วยอีกแทบไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงปัญหาที่รัฐทิ้งผู้ป่วยให้เชื้อร้ายกัดกินอวัยวะจนถึงหมอก็พัง
โควิดรอบนี้ระบาดจากสถานบริการที่คุณชูวิทย์เรียกว่า “ไทยคู่ฟ้าคลับ” ซึ่งรัฐบาลไม่ลงโทษเจ้าของแม้แต่คดีเดียว
แต่ที่น่ากลัวกว่าคือการขยายตัวของผู้ติดเชื้อจาก 26,073 คน จาก 3 เมษายน ซึ่งเกิดกรณีน้องฟ้าใสจนถึงวันที่ 27 เมษายน ซึ่งมีผู้ติดเชื้อ 59,687 คน ก็เท่ากับมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งเท่าในเวลา 24 วัน
เชื้อโควิดใช้เวลาฟักตัวราว 14 วัน และหากนับจาก 3 เมษายน มาถึงราวๆ วันที่ 16 เมษายน ที่มีคนไทยตายเพราะโควิด 97 คน ก็เท่ากับว่าโควิดรอบนี้ทำให้มีคนตายถึงวันที่ 27 เมษายน เพิ่มขึ้นถึง 66 คน เป็นคนตายทั้งสิ้น 163 คนภายในระยะเวลาเพียงสิบเอ็ดวันเท่านั้นเอง
การชันสูตรของรัฐบาลระบุว่าคนเหล่านี้ตายเพราะโรคหนึ่งโรคใด แต่ที่จริงโรคไม่ใช่เหตุให้คนเหล่านี้ตาย เพราะถ้ารัฐไม่ปล่อยปละละเลยจนเชื้อระบาด และถ้า ศบค.บริหารดีจนผู้ติดเชื้อถึงมือหมอทันท่วงที โควิดโดยเนื้อแท้ก็ไม่ต่างจากหวัด และจะไม่มีคนไทยตายเพราะโควิดแม้แต่คนเดียว
แค่รัฐปล่อยให้คนติดโควิดตายคาบ้านโดยไม่ได้รับการรักษาก็ผิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีอาม่า กรณีอัพ หรือกรณีอื่นๆ แต่ที่ผิดขั้นบัดซบที่สุดคือการแถลงของ ศบค.ที่บิดเบือนว่าคนพวกนี้ตายเพราะเบาหวาน เพราะความดัน เพราะปอดติดเชื้อ ฯลฯ
ทั้งที่ทุกคนตายเพราะโรงพยาบาลไม่รับรักษาตัว
โควิดเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคจนไม่มีใครตั้งใจแพร่เชื้อให้ใครติดใครแน่ๆ
แต่การตายเพราะโควิดเป็นผลผลิตของนโยบายรัฐที่ผิดพลาดและการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาล
ตัวอย่างเช่น รัฐบาลปล่อยคนติดเชื้อตายมหาศาลเพราะเชื่อว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นมา
ถ้านายกฯ อังกฤษไม่เลือกวิธีปล่อยให้เชื้อลามเพื่อให้ร่างกายมนุษย์สร้างภูมิคุ้มกันเอง คนอังกฤษก็จะไม่ตายถึง 127,000 คนอย่างที่ตายไปแล้ว
ไวรัสจึงเป็นเพียงเงื่อนไขเบื้องต้นให้มนุษย์เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคระบาด แต่ไวรัสไม่สามารถทำให้คนในประเทศตายมากหรือน้อยได้เท่ากับนโยบายรัฐบาล
คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่นายกฯ ที่เก่งที่สุดที่ประเทศไทยเคยมี
แต่ถ้าจะมีอะไรที่คุณประยุทธ์เหนือกว่านายกฯ คนอื่นอยู่บ้าง สิ่งนั้นก็ได้การบ้าอำนาจ, หลงตัวเอง, พูดผิดๆ ถูกๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ, ความไม่เคยรับผิดชอบ และการเป็นคนที่พร้อมจะโยนความผิดทุกอย่างไปให้คนอื่นตลอดเวลา
คนไทยติดเชื้อโควิดเยอะเพราะสารวัตรที่เป็นหลานเขยรองนายกฯ ถูกกล่าวหาปล่อยคลับไฮโซแอบแฝงค้ากามจนเชื้อลุกลาม เชื้อลามจากคลับไปสู่คนไทยเพราะนายกฯ ไม่เร่งฉีดวัคซีนทั้งที่คุม ศบค.มาหนึ่งปีแล้ว
ส่วนเชื้อระบาดจากกรุงเทพฯ ไปทั่วประเทศเพราะ ศบค.ไม่กล้าล็อกดาวน์ในเวลาที่ควรล็อกดาวน์
ตัวเลขผู้ติดเชื้อและคนตายที่กระฉูดขึ้นหนึ่งเท่าใน 2 สัปดาห์ คือหลักฐานว่าคุณประยุทธ์และ ศบค.บริหารปัญหาโควิดเฮงซวย แต่ภายใต้ความเฮงซวยจากการผูกขาดอำนาจบริหารโควิดไว้ที่ก๊วนคุณประยุทธ์เพียงกลุ่มเดียวมาตลอดหนึ่งปี สิ่งที่คุณประยุทธ์ทำทันทีที่โควิดพุ่งคือการเพิ่มอำนาจ ศบค.
คุณประยุทธ์สร้างภาพว่า ศบค.เป็นที่รวมของคนเก่งที่สุดในประเทศไทย แต่ไม่ว่าคนใน ศบค.จะเก่งจริงหรือยกหางกันเอง
ผลงานของ ศบค.ในการบริหารโควิดคือความล้มเหลวอย่างที่สุด
เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมาของ ศบค.คือหนึ่งปีของการเปลี่ยนนโยบายที่โลเลยิ่งกว่า ส.ส.ชั่วขายตัวให้พรรครัฐบาล
เอาเฉพาะเรื่องล็อกดาวน์ก่อน ศบค.ตัดสินใจปิดเมืองในปี 2563 ตอนที่ผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งวันละ 100 คน
แต่พอถึงปี 2564 ศบค.เพิ่งจะมีท่าทีล็อกดาวน์แบบอ่อนๆ ตอนผู้ติดเชื้อพุ่งวันละ 2 พันแล้ว
การปิดบ้านปิดเมืองทั้งสองครั้งจึงไม่ได้วางอยู่บนบรรทัดฐานใด นอกจากการคิดเองเออเองของ ศบค.
คุณประยุทธ์แก้ปัญหาโควิดด้วยข้าราชการ, นักการเมืองกลุ่มสายตรงคุณประยุทธ์ที่พร้อมจะทำตามข้าราชการ รวมทั้งผู้มีอิทธิพลจากภาคเอกชนที่แม้แต่คุณประยุทธ์ผายลมก็ยังชมว่าหอมไปหมด และความล้มเหลวของราชการในการแก้ปัญหาโควิดก็สะท้อนเป็นความมั่วในการกำหนดมาตรการ
ไม่มีการแสดงความรับผิดชอบถึงความห่วยทางนโยบายและการบริหารจากคุณประยุทธ์แม้แต่ครั้งเดียว เจ้าของคลับที่แพร่เชื้อลามสู่คนหกหมื่นไม่ติดคุก ตำรวจที่กอบโกยกับเจ้าของคลับแค่โดนย้ายที่ทำงาน
มีแต่ประชาชนที่ต้องรับความทุกข์จากความห่วยของนโยบายและการบริหารตลอดเวลา
ล่าสุด ศบค.ก็ออกประกาศปรับทุกคนที่ไม่ใส่หน้ากากออกจากบ้าน เลอะขนาดสั่งการว่าครอบครัวเดียวกันต้องใส่หน้ากากตอนอยู่ในรถด้วยกัน ถึงตอนอยู่ในบ้านและนอนห้องเดียวกันจะไม่ใส่ก็ไม่เป็นไร แต่ขึ้นรถต้องใส่ทันที และก็เหมือนเดิมคือไม่มีการแจกหน้ากากให้ประชาชนแม้แต่ชิ้นเดียว
ศบค.ออกนโยบายที่ย้อนแย้งแบบนี้ในรอบหนึ่งปีเยอะไปหมด สั่งวัคซีนจากบริษัทเดียวที่ให้โรงงานไทยแห่งหนึ่งผลิต จากนั้นยัดคดี 112 ให้ธนาธรที่วิจารณ์โรงงานนี้และนโยบาย “แทงม้าตัวเดียว” แต่ในที่สุดต้องเร่ขอซื้อวัคซีนจากสหรัฐและรัสเซีย ส่วนโรงงานไทยยังผลิตวัคซีนไม่ได้เลย
ความมั่วของ ศบค.คือหลักฐานว่าคุณประยุทธ์เป็นผู้นำห่วยที่ใช้ความเป็นทหารคุมข้าราชการจนเกิดนโยบายห่วย แต่ที่แย่กว่านั้นคือองค์กรห่วยที่พยายามปัดความผิดของผู้เกี่ยวข้องไปสู่ประชาชน, พรรคการเมือง, รัฐมนตรี ฯลฯ
โดยไม่เคยมีสักครั้งที่พูดถึงความรับผิดชอบของ ศบค.
คนจำนวนมากเคลื่อนไหวให้คุณอนุทินลาออกเพื่อรับผิดชอบที่โควิดพุ่งและคนตายเพิ่มทุกวัน แต่คุณประยุทธ์เขียนกฎหมายให้ ศบค.มีอำนาจเหนือกระทรวง กระทรวงจึงรับผิดชอบได้แค่ความผิดระดับปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น การจัดสรรเตียงล่าช้า ปัญหาคอขวดในการรับผู้ป่วยเข้าระบบ ฯลฯ
ในโครงสร้างการบริหารงานนี้ ปลดอนุทินไม่ได้แก้ปัญหาระบบเท่ากับแก้ปัญหาการเมือง เพราะต่อให้ไม่มีอนุทิน ระบบจัดสรรเตียงให้ผู้ติดเชื้อทั้งประเทศโดยหมอส่วนกลางไม่กี่คนก็ยังอยู่ นายกฯ ที่ออกนโยบายวัคซีนมั่วก็ยังอยู่ จะหายไปก็แค่รัฐมนตรีที่สั่งซื้อวัคซีนตามนโยบาย ศบค.เท่านั้นเอง
คุณอนุทินเป็นจำเลยทางอารมณ์ของคนที่ไม่พอใจความล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิดของประเทศไทย รวมทั้งเป็นแพะรับบาปให้ความผิดที่คุณประยุทธ์และ ศบค.เป็นฝ่ายสร้างขึ้น
แต่ไม่มีทางที่คุณอนุทินซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคอันดับสองจะยอมเป็นแพะโดยลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีได้เลย
คุณประยุทธ์เป็นคนเดียวที่จะทำให้คุณอนุทินพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี
แต่การปลดคุณอนุทินคือการบีบให้ภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาล ผลคือรัฐบาลล่ม
เครือข่ายคุณประยุทธ์จึงต้องแก้เกมโดยการปล่อยข่าวโง่ๆ ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ นั่นก็คือเพื่อไทยจะเข้าร่วมรัฐบาลประยุทธ์แทนภูมิใจไทย
คุณประยุทธ์สร้างกติกาที่คุณประยุทธ์ตั้งวุฒิสมาชิก 250 คนเลือกคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ไปตลอดกาล แต่หากรัฐบาลล่มเพราะคุณอนุทินออก สภาก็ต้องโหวตใหม่โดยก๊วน 250 ส.ว.ก็จะโหวตคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ อีก การกระทำที่บัดสีแบบนั้นจะจุดชนวนความแค้นของมวลชนจนน่ากลัว
ด้วยทางเลือกที่มีแต่ฝาโลงแบบนี้ ไม่มีทางที่คุณอนุทินจะลาออก และไม่มีทางที่คุณประยุทธ์จะบีบให้คุณอนุทินออกด้วย
เพราะการมีคุณอนุทินคือการมีแพะไว้รับบาปเรื่องโควิดแทนคุณประยุทธ์ ทั้งที่ความล้มเหลวและความผิดพลาดเรื่องโควิดมีต้นตอจาก ศบค.ที่คุณประยุทธ์คุมเองเพียงคนเดียว
คุณประยุทธ์ไม่ใช่นายกฯ ที่เก่งที่สุดที่ประเทศไทยเคยมี แต่หนึ่งในเรื่องแย่ๆ ที่คุณประยุทธ์เหนือกว่าอดีตนายกฯ ทุกคนคือการปัดความผิดให้คนอื่นไม่มีสิ้นสุด เศรษฐกิจพังเพราะทักษิณ การบินไทยเจ๊งเพราะไทยรักไทย น้ำท่วมเพราะยิ่งลักษณ์ เช่นเดียวกับสถานการณ์โควิดประเทศพังเพราะอนุทิน
คุณประยุทธ์คือปัญหาหลักของประเทศ และไม่มีทางที่ประเทศจะมีอะไรดีขึ้น
หากมีคุณประยุทธ์และคนแบบคุณประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ทางออกของประเทศจึงได้แก่การยุบสภาเพื่อหานายกฯ ใหม่ ต่อให้วุฒิสภาของคุณประยุทธ์จะยังมีอำนาจเลือกคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ก็ตาม
พูดให้ถึงที่สุด ทางออกเดียวของประเทศคือประชาชนทุกกลุ่มต้องด่าคุณประยุทธ์มากจนคนแบบคุณประยุทธ์เกิดยางอาย ซึ่งบางทีเรื่องนี้อาจยากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ