ภาพยนตร์/THE MUMMY “มัมมี่สาวในลอนดอน”

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

THE MUMMY “มัมมี่สาวในลอนดอน”

กำกับการแสดง Alex Kurtzman

นำแสดง Tom Cruise, Russell Crowe, Sofia Boutella, Annabelle Wallis

นิก มอร์ตัน (ทอม ครูส) เป็นนักล่าสมบัติ นักเผชิญโชคและหัวขโมยซึ่งใช้หน้าฉากของปฏิบัติการปราบปรามผู้ก่อการร้ายของกองทัพอเมริกันในอิรัก เพื่อตามหาลายแทงที่จิ๊กมาจากสาวสวยคนหนึ่ง

ให้เผอิญว่าสาวสวยคนนั้นมีชื่อว่า เจนนี่ ฮัลซีย์ (แอนนาเบลล์ วอลลิส) และเป็นนักโบราณคดีที่กำลังตามล่ามหาสมบัติชิ้นสำคัญจากยุคอียิปต์โบราณ ด้วยสาเหตุทางวิชาการที่จะมีนัยยะสำคัญสำหรับมนุษยชาติ

โครงการที่เจนนี่กำลังทำอยู่ อยู่ภายใต้การนำของ ดร.เฮนรี่ เจคคิล

ใช่แล้วค่ะ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ดร.เจคคิลหรือมิสเตอร์ไฮด์ ซึ่งเป็นตัวละครในวรรณกรรมชื่อดังของ โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน เจคคิล/ไฮด์เป็นแบบอย่างของตัวละครที่มีสองบุคลิกอยู่ในตัว คนหนึ่งเป็นนักบุญ อีกคนหนึ่งเป็นคนบาป

เฮนรี่ เจคคิล กำลังทำการทดลองเกี่ยวกับความชั่วช้าสามานย์ในตัวมนุษย์

และสืบค้นเงื่อนงำของโบราณวัตถุจากยุคไอยคุปต์ที่ถูกลบเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ด้วยการปกปิดและกาลเวลาที่ผ่านไปร่วมสามพันปี

นั่นคือ “อาห์มาเน็ต” (โซเฟีย บูเทลลา) ราชธิดาของฟาโรห์ผู้คิดล้มล้างราชบิดาและหันหน้าไปฝักใฝ่กับทูตมรณะ หรือจอมเทพเซ็ต

เมื่อนิกบังเอิญเจอเข้ากับหลุมฝังศพของอาห์มาเน็ต อันถูกพิทักษ์ไว้แน่นหนาใต้ดิน…ขนาดที่นักโบราณคดีออกปากว่า นี่ไม่ใช่หลุมฝังศพหรอก แต่เป็นคุกต่างหาก…เขาก็มีส่วนปลดปล่อยวิญญาณร้ายออกเพ่นพ่านเหนือพิภพอีกครั้ง ในร่างของมัมมี่สาวที่ลงยันต์ไว้ทั้งตัว ไม่เว้นแม้แต่บนใบหน้า

และอาห์มาเน็ตก็ปักใจในตัว นิก มอร์ตัน ซึ่งกลายเป็น “ผู้ถูกเลือก” ให้เป็นพาหะเพื่อให้เทพเซ็ตฟื้นคืนจากความตายมาอยู่ในคราบของมนุษย์เดินดินและได้ครอบครองโลกสมัยใหม่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ในการนี้ เธอต้องการกริชเล่มหนึ่ง ซึ่งชาวครูเสดนำไปไว้ในอังกฤษ รวมทั้งอัญมณีแดงเม็ดมหึมา ซึ่งอยู่ในอังกฤษเหมือนกัน

มัมมี่ภาคนี้จึงเดินทางจากอิรักไปอาละวาดในลอนดอน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากอียิปต์ในภาคแรกๆ ไปบ้าง

แต่แน่นอน พายุทรายถาโถมอย่างชวนอัศจรรย์ใจนั้นยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญในเรื่องเกี่ยวกับมัมมี่เช่นเคยเดิม

สิ่งแปลกใหม่สองอย่างของแฟรนไชส์ชุด The Mummy ในภาคนี้ คือการเปลี่ยนหน้าพระเอก จาก เบรนดัน เฟรเซอร์ เป็น ทอม ครูส

ซึ่งทำให้แฟนหนังอย่างผู้เขียนงงๆ ว่า ถ้าจะเปลี่ยนพระเอกจริงๆ ก็น่าจะหาคนหน้าใหม่ที่หนุ่มแน่นมาเป็นแอ๊กชั่นฮีโร่คนใหม่

ทอม ครูส จวนเจียนจะหมดสภาพสำหรับบทบาทแบบนี้แล้ว

และจากตอนจบของหนังนั้นดูท่าว่าจะต้องมีภาคต่อไปตามมาอีกแน่ๆ แฟนหนังคงต้องทำใจทนดูหน้าบวมๆ ของ ทอม ครูส ต่อไปอีกหลายปี

อย่างที่สองคือ มัมมี่ตัวเอ้ ซึ่งกลายเป็นมัมมี่สาวสวย ไม่ใช่ฟาโรห์หัวล้านเหมือนเดิม

ดังที่กล่าวแล้ว หนังเก็บเล็กผสมน้อยจากโน่นนิดนี่หน่อย เอามาถักทอกันอย่างไม่เนียนเรียบเป็นเนื้อเดียวกันนัก

อาทิ ทัศนะดั้งเดิมในการทำมัมมี่นั้นคือการมอบชีวิตอมตะให้แก่คนตาย เพื่อที่จะได้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งในภพต่อไปด้วยความยิ่งใหญ่เช่นเดิม

แต่ในเรื่องนี้ คนที่เป็นมัมมี่คือคนทรยศที่กระทำปิตุฆาตเพื่อความเป็นใหญ่ของตัวเอง ทำไมคนสมัยนั้นจึงมอบชีวิตอมตะแก่เธอ ต่อให้เป็นอมตภาพในที่คุมขังก็เถอะ ทำไมไม่แค่สังหารให้ตายตกไปตามกัน หมดสิ้นโอกาสที่จะฟื้นคืนชีพมาสืบสานความชั่วร้ายที่เคยกระทำไว้อีกเล่า

อย่างไรก็ตาม เหตุผลเดียวที่ต้องบอกตัวเอง คืออย่าไปหาเหตุผลอะไรลึกซึ้งมากนักจากหนังหัวมังกุท้ายมังกรแบบนี้

โดยเฉพาะเมื่อตัวพระเอกซึ่งเป็น “คนที่ถูกเลือก” เป็นพระเอกแบบ ทอม ครูส ซึ่งถูกครอบงำโดยวิญญาณร้าย แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีสติพอจะรู้ตัวว่าเขาถูกบงการ และเลือกที่จะขัดขืนต่อความชั่วร้าย โดยยังไม่สามารถขจัดวิญญาณร้ายนั้นออกไปจากตัว

บอกตรงๆ ว่าจุดนี้น่างุนงงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าจะเอาไงกันแน่ค่ะ

และบทบาทของคู่หูหรือลูกไล่ของพระเอก คือ คริส เวล (เจค จอห์นสัน) ก็เหมือนกัน เป็นบทที่ชวนงงจริงๆ ว่าจะเอาไงกันแน่ ทำไมพระเอกต้องยิงถึงสามนัด นัดสุดท้ายเป็นเรื่องไม่จำเป็นต้องยิงด้วยซ้ำ แต่ทำเหมือนตัดขาดมิตรภาพแน่นหนาที่เคยมีต่อกันให้สิ้นสุดไปเลย แต่ไม่ช้าไม่นานก็กลับหวนมาคืนดีกันใหม่เหมือนไม่เคยมีเรื่องค้างคาใจต่อกัน

บทบาทของนางเอกภาคนี้ดูจืดชืดกว่าบทดั้งเดิมของ เรเชล ไวส์ ซึ่งดูจะเก่งกล้าทันกับพระเอกมากกว่า บทของเจนนี่ดูจะมีเพื่อให้พระเอกช่วยเหลือแบบพลีชีพให้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนไม่มีอะไรน่าจดจำในตัวเอง

ส่วน รัสเซลล์ โครว์ ก็เล่นไปแกนๆ เหมือนไม่มีกะใจให้แก่ตัว ดร.เจคคิล/มิสเตอร์ไฮด์อะไรมาก แค่อาศัยรัศมีดาราของตัวเองมาฉายแสงแก่ตัวละครที่ดูน่าจะมีความสำคัญต่อเรื่องราวของหนังมากกว่านี้ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าจดจำเหมือนกัน

สรุปแล้ว หนังเดินเรื่องไปตามแกน และไม่มีอะไรน่าติดใจค่ะ

แถมน่าโมโหด้วยตอนจบที่ทิ้งท้ายไว้แบบต้องให้คนดูเดือดร้อนต้องคอยตามดูภาคต่อไปอีก

ไม่ให้ความรู้สึกว่าลงตัวค่ะ