หนุ่มเมืองจันท์ : ‘กุญแจ’ ที่ซ่อนอยู่

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ / หนุ่มเมืองจันท์ / www.facebook.com/boycitychanFC

 

เมื่อครั้งที่ “เอ๋” นิ้วกลม เชิญผมกับ “โจ้” ธนา เธียรอัจฉริยะ ไปคุยบน Clubhouse ในหัวข้อ “ความล้มเหลวที่รัก”

เราชวน “สุพจน์ ธีระวัฒนชัย” เพื่อนผมหนึ่งในเจ้าของและผู้บริหารโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงมาร่วมด้วย

เพราะ “สุพจน์” เป็น “ตัวจริง-เสียงจริง” ที่ผ่านการล้มลุกคลุกคลานในการทำธุรกิจมายาวนาน

บทเรียนของเขามากกว่าผมและ “โจ้” แน่นอน

ตอนแรกกะเป็นการพูดคุยกัน แต่พอถึงเวลาจริง เรื่องราวของ “สุพจน์” น่าสนใจมาก

กลายเป็นว่าเรา 3 คนรุมสัมภาษณ์ “สุพจน์”

นับว่าโชคดีจริงๆ ที่ดึงเพื่อนขึ้นมาคุย

เพราะถ้าให้ผมร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ส่วนตัวเรื่องคงกร่อย

ไม่ใช่เป็นคน “โชคดี” หรือ “เก่ง”

ระดับที่ทำอะไรก็สำเร็จ

ไม่เคย “ล้มเหลว” เลย

เพราะชีวิตที่ผ่านมามีเรื่องราวที่ผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ

แพ้ก็เยอะ

แต่ไม่เคยรู้สึกว่า “ล้มเหลว”

ผมไม่ได้เล่นสำนวนเหมือนเป็นคนมองโลกในแง่ดี

หรือคิดแบบ “โทมัส อัลวา เอดิสัน” เรื่อง “หลอดไฟ”

“ข้าพเจ้าไม่ได้ล้มเหลว แต่ข้าพเจ้าค้นพบวิธีที่ไม่ควรทำ 10,000 วิธีเท่านั้นเอง”

แต่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ

พยายามตั้งคำถามกับตัวเองว่ารู้สึกล้มเหลวเรื่องอะไรบ้าง

พยายามคิด พยายามคั้นอยู่นานมาก

ไม่ได้ดัดจริตอะไรเลยครับ

คิดไม่ออกจริงๆ

 

นึกย้อนไปถึงวันที่มีเคยคนตั้งคำถามรอบวงว่าเคยเกลียดหรือแค้นใครที่สุดในชีวิต แบบจำฝังใจ

เกลียดไม่มีวันลืม

แบบไม่มีวันทำงานด้วย

หรือเจอก็ไม่ยกมือไหว้

ผมพยายามคิดและเค้น

ไม่ยกมือไหว้ หรือเดินหลบ มีอยู่บ้าง

โกรธ-เกลียด มีบ้าง

แต่ถึงขั้นสุดๆ ไหม

…ไม่

พอคิดและเค้นเพื่อหาคำตอบถึงจุดหนึ่งแล้วไม่เจอ

คราวนี้จึงตั้งคำถามใหม่

ทำไมถึงไม่มี

ในวงที่คุยกัน ส่วนใหญ่ที่โกรธหรือเกลียดใครสุดๆ มักมาจากการโดนดูถูกดูหมิ่นอย่างรุนแรง

ตอนที่พวกเขายังเป็นคนตัวเล็กอยู่

ผมก็เคยเจอเหมือนกัน

แต่ทำไมถึงไม่รู้สึก

หรือว่าเราเป็น “คนดี” ปล่อยวางได้

พอคิด “คำตอบ” ที่ดูดีแบบนี้ขึ้นมา

คำปฏิเสธกระโดดเตะก้นทันที

ไม่จริง!!

คิดไปคิดมา ในที่สุดก็พบ “คำตอบ”

มีเรื่องที่ผมจำฝังใจอยู่ 2-3 เรื่อง

แต่ที่ไม่รู้สึกเกลียดหรือโกรธสุดๆ

แฮ่ม…เพราะผมเอาคืนได้หมด

พอพบคำตอบปั๊บ

จาก “คนดี” กลายเป็น “คนเลว” ขึ้นมาทันที

คำว่า “เอาคืน” ไม่ได้หมายความลงมือทำร้ายเขา

แต่ “เอาคืน” คือ อะไรที่เขาดูถูกว่าเราทำไม่ได้

ผมทำได้แล้ว

ตอนที่เจออะไรแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าพลังการเอาคืนเยอะมากเลยครับ

แต่พอทำได้ก็จบ

กลายเป็นว่ามีความสุขอยู่ฝ่ายเดียว เพราะคนที่ผมเอาคืนเขายังไม่รู้ตัวเลย

บางเรื่องเขาก็ลืมไปแล้ว

วันนั้นพูดแบบไม่ได้คิดอะไรจริงจัง

แต่บังเอิญผมคิด

โชคดีที่ผมเอาคืนได้ทุกเรื่อง

ก็เลยไม่เกลียดใครสุดๆ

 

เรื่อง “ล้มเหลว” ก็เช่นกัน

ความรู้สึกว่า “แพ้” หรือ “ล้มเหลว” มีน้ำหนักที่แตกต่างกัน

“ล้มเหลว” จะหนักกว่า “แพ้”

เรื่องทั่วๆ ไปถ้าทำไม่ได้ จะรู้สึกแค่ “แพ้”

แต่ถ้าเรื่องไหนที่ตั้งความหวังไว้สูง

พอพลาดปั๊บ

จะรู้สึกว่า “ล้มเหลว”

เพราะสิ่งที่ฝันไว้ หรือตั้งความหวังไว้

มันเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

พอไม่ได้ก็เหมือนกับร่วงลงจากยอดเขาที่สูง

ตกมาก็เจ็บ

ส่วนหนึ่งที่ผมไม่รู้สึกว่า “ล้มเหลว” เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยมี “เป้าหมาย” ในชีวิตแบบสูงส่งและยาวไกล

แต่เป็นเป้าหมายเล็กๆ ในระยะเวลาสั้นๆ

พลาดก็ยังขำได้

แค่ “แพ้”

ไม่ใช่ “ล้มเหลว”

อีกเหตุผลหนึ่ง คือผมเป็นคนขี้ลืม

ตอนแพ้มักจะเจ็บ

แต่พอมีเรื่องใหม่ให้ทำ แพ้บ้าง ชนะบ้าง

เราก็ลืมความรู้สึกเจ็บตอนแพ้ครั้งนั้นไป

และโชคดีที่สรุปบทเรียนเก่ง

ทุกครั้งที่ผิดพลาดหรือพ่ายแพ้ ถ้าเราสรุปบทเรียนได้ มันก็เหมือนเป็นการเสริม “กล้ามเนื้อ” ชีวิตให้แข็งแกร่งขึ้น

วิ่งครั้งต่อไปจะวิ่งได้ไกลกว่าเดิม

 

ผมเคยอ่านเฟซบุ๊กของ “บก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ เล่าถึงเพื่อนคนหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังล้มเหลว

มีประโยคหนึ่งของ “สมบัติ” ที่ผมชอบมาก

เขาบอกว่า เวลาที่ผิดพลาดหรือล้มเหลว เขาจะเอาเป็นเอาตายว่าอะไรทำให้ล้มเหลว

และตบท้ายว่า “ในกองของความล้มเหลวมักมีกุญแจดอกเล็กๆ ตกอยู่ในนั้น เอาไว้เปิดประตูความสำเร็จ”

ชอบคำนี้มาก

ผมนึกถึงคำพูดของ “เอดิสัน”

10,000 ครั้งที่ล้มเหลว

คือ 10,000 ครั้งที่ไม่ควรทำ

เขาคงสรุปบทเรียนแบบนักวิทยาศาสตร์

ตัดทอนความเป็นไปไม่ได้ออก

ยิ่งมากเท่าไร

ก็เหลือหนทางที่เป็นไปได้ไม่กี่ทาง

และนั่นคือ “กุญแจ” ดอกเล็กๆ ในกองความล้มเหลว