คำถามที่ 5 ลำไย ไหทองคำ : ในประเทศ

ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ได้ถามประชาชนเฉพาะประเด็นทางการเมือง 4 ข้อ

แต่โยนคำถามที่ 5

เข้าใส่ “ลำไย ไหทองคำ” และสังคม ว่า

“รู้จักลำไย ไหทองคำ กันหรือไม่ เต้นแบบนี้หรือ เกือบจะโชว์ของสงวน พูดไปก็ไม่ดี เดี๋ยวหาว่าผมบ้า แต่อยากให้ช่วยกันแก้ไขปัญหา”

งานเข้านักร้องสาวซึ่งขายความเซ็กซี่ในทันที

ถามว่า น่าประหลาดใจไหม ที่มีคำถามนี้จากปากของนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ก็คงต้องบอกว่าไม่น่าประหลาดใจ

ด้วยเป็นที่ทราบกันดีว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้ได้เข้าไปยุ่มย่ามในเรื่องต่างๆ เกือบทุกเรื่อง ตามประสารัฐบาลที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ประกอบกับมีแนวทางที่เดินตามทางอนุรักษนิยมอย่างเข้มข้น

แม้ว่าค่านิยม 12 ประการ จะโรยแรงในวาระ 3 ปีของ คสช. และรัฐบาล

แต่กระนั้น เรื่องนี้ก็ฝังอยู่ในสายเลือด คสช. อย่างเข้มข้น และพร้อมจะแสดงออกมาเพื่อจัดระเบียบสังคม หากมีกระแส “ล้ำ-ล้ำ” เกิดขึ้นในสังคม

ในค่านิยม 12 ประการนั้น หากโฟกัสไปที่ข้อ 5 “รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม” เพียงข้อเดียว

ลำไย ไหทองคำ ก็น่าจะสอบตก “จริยธรรม” แล้ว

แม้ “ประจักษ์ชัย เนาวรัตน์” เจ้าของค่ายเพลงไหทองคำ เรคคอร์ด ต้นสังกัด “ลำไย ไหทองคำ” จะตั้งคำถามกลับ ว่า

“ลำไยไปทำร้ายสังคมเหรอ ลำไยเต้นท่านั้นทำให้สังคมวอดวายเหรอ

เรื่องแบบนี้มีมาก่อนที่ลำไยจะดังเสียอีก มีคนอื่นทำมาก่อนตั้งเยอะ แต่ไม่ถูกพูดถึง

น้องลำไยเป็นนักร้องวาไรตี้ เป็นการร่วมสมัยท่าเต้นก็จะมีการผสมผสาน ทั้งหมอลำซิ่ง โคโยตี้ เกาหลี และทางอเมริกา ท่าเต้นนี้มีมานานแล้ว

ทางอเมริกาก็มี อย่าง ไมเคิล แจ๊กสัน หรือนักร้องเกาหลีก็เต้นกัน นักร้องดังๆ ในเมืองไทยก็เต้น ไม่ใช่ว่าลำไยจะมาเต้นคนแรก

อีกอย่าง ถึงน้องลำไยไม่ทำ คนอื่นก็ทำอยู่ดี แต่คนอื่นทำไม่ถูกพูดถึง ทีน้องถูกพูดถึง เพราะน้องกำลังดัง เป็นกระแส

ที่ผ่านมาอย่างนักร้องค่ายใหญ่ๆ ใส่ชุดเหมือนใส่บิกินี ยกขาแหวกสูง แถมกอดคอผู้ชายเต้นด้วย ไม่เห็นใครออกมาพูดว่าอะไร

เรื่องการเต้นฉีก เต้นกระเด้งมีมานานแล้ว แต่ไม่มีคนพูดถึง ต้องบอกว่าน้องลำไยน่าสงสาร เพราะมาโดนจับตามอง และโดนผู้ใหญ่ติติง”

แต่กระนั้น ดูเหมือนจะฝ่าด่าน “วัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม” ไปได้ยาก

อย่างที่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พยายามตอกย้ำจุดยืนของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า

“ท่านนายกฯ เพียงต้องการให้สติแก่ผู้ที่เป็นบุคคลสาธารณะว่า สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมควรเป็นอย่างไร เพราะสังคมของเรามีปัญหาสลับซับซ้อนมากมาย เช่น ปัญหาฆ่าข่มขืน โสเภณี การแสดงยั่วยุ ลามกอนาจาร ฯลฯ หากคนในชาติไม่ช่วยกันป้องกัน ไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ ปัญหาเหล่านั้นก็จะยังคงวนเวียนไม่สิ้นสุด ทั้งนี้ การกล่าวอ้างว่าสิ่งที่ทำเป็นการแสดง เหมือนกับในต่างประเทศ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จึงอาจเป็นเหตุผลที่ไม่เหมาะสมนัก เนื่องจากประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่งดงาม โดยอยากให้คนไทยเปลี่ยนความคิดใหม่ พิสูจน์กันด้วยฝีมือและความสามารถอย่างสร้างสรรค์ ไม่มุ่งแต่ผลประโยชน์ หรือละเมิดศีลธรรมและกฎหมายบ้านเมือง”

ขณะที่ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เทกแอ๊กชั่น ด้วยการทำหนังสือเตือนส่งไปยังค่ายเพลงต้นสังกัดแล้ว

ซึ่งนายวีระบอกว่า ทางต้นสังกัดก็ได้โพสต์ข้อความตอบกลับมาว่า ขอน้อมรับคำติติง ยินดีที่จะนำไปปรับปรุง และขอบคุณทุกความคิดเห็น แสดงว่านโยบายของรัฐบาลเรื่องของค่านิยมนั้น ทุกคนให้ความร่วมมือดี

ถือเป็นการสรุปแบบมองโลกในแง่ดี จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม ภายใต้เสียงตำหนิ และดูถูกดูแคลนต่างๆ นานานั้น

เมื่อเราไปทบทวนประวัติ ลำไย ไหทองคำ อีกสักครั้ง

จะพบว่า เธอเป็นคนสู้ชีวิต และดิ้นรนเพื่อที่จะมีจุดยืนในสังคมมาอย่างหนักหน่วง

ลำไย ไหทองคำ หรือ สุพรรณษา เวชกามา เกิดที่ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ในครอบครัวยากจน

ต้องพากันเข้ามาเช่าบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ

ช่วยยายและแม่หิ้วตะกร้าเร่ขายลูกอม ถั่วคั่ว และผลไม้ตามร้านอาหาร สถานบันเทิงยามราตรี ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นอนุบาล

ด้วยความสามารถที่พอจะร้องเพลงได้ ก็เริ่มรับงานกับวงอิเล็กโทน ตอนเรียน ป.4 ทั้งร้องเพลงและเป็นแดนเซอร์ ได้ค่าตัวจากการร้องเพลงวันละ 150 บาท

ต่อมาก็กลายมาเป็นหมอลำซิ่งเดินสายร้องเพลงจนมาเจอกับประจักษ์ชัย เนาวรัตน์ จึงเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัด

ลำไย หรืออ้าย สาวน้อยวัย 18 จากจังหวัดร้อยเอ็ด ไม่นึกฝันว่าชีวิตจะมีวันนี้

คิดว่าจะร้องเพลงธรรมดา เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว

แต่ด้วยท่าเต้นประจำตัวเต้นแหกแหวกขาสูง ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เมื่อถูกนำไปเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก พร้อมๆ กับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา

มีคนคอมเมนต์จำนวนมาก ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าท้อ โดยเฉพาะเสียงวิจารณ์ประมาณว่าไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ เราคนไทย ขายเสียงหรือขายอะไรกันแน่

“แต่ก็คิดอยู่ว่า เขารู้จักเราดีแล้วเหรอ ทำไมถึงว่าเรา แต่ก็อย่างว่า เขาไม่ได้รู้จัก ไม่ได้อะไรกับเรา เห็นอย่างนั้นก็วิจารณ์ไปตามภาพที่เห็น” ลำไยเคยให้สัมภาษณ์ไว้เช่นนั้น

ด้วยเหตุนี้เธอผู้เป็นกำลังหลักของบ้านในการหารายได้เพื่อเลี้ยงชีวิตจึงทำใจ

แต่ก็ต้องตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนนาฏศิลป์ เมื่อตอนเรียนชั้นมัธยมปีที่ 5 หลังโดนกระแสวิจารณ์มากมายจากท่าเต้น แต่ก็คงไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากเต้นและร้องเพลงหาเลี้ยงครอบครัว

“ถ้าเลือกได้ ก็อยากจะให้มีจุดจดจำที่เพลง ด้วยฝีมือ มากกว่าที่จะมาพูดถึงท่าเต้น” ลำไยว่าอย่างนั้น

แต่การแสดงบนเวทีเธอก็เต็มที่

“กับแฟนเพลงหน้าเวที ที่ให้ทิปให้อะไร ให้ให้กับมือ ไม่ให้ยัด ไม่ให้เหน็บกับเสื้อผ้า เหมือนว่าเราให้เขาดูแค่การแสดง ไม่ใช่ให้เขามาถูกเนื้อต้องตัวเรา คือถ้าจับมือจับได้ แต่อะไรที่มันไม่ควร ก็ไม่” ถือเป็นหลักที่ลำไยยึดอยู่ กระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังในวันนี้

“เรื่องเซ็กซี่เราทิ้งไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นเรา อย่างเรื่องชุดเราก็ปรับ อย่างก่อนหน้านี้ชุดคอนเซ็ปต์จะเป็นชุดสีทอง แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นใส่บอดี้สูท และก็ใส่กางเกงยีนส์ขาสั้น กางเกงขาก็ไม่สั้นมากๆ เหมือนเมื่อก่อน จะสั้นปกติเหมือนคนทั่วไปใส่ค่ะ”

“ตอนนี้หนูปรับตัวแล้ว พร้อมที่จะแก้ไข เรื่องท่าเต้นก็เบาลง แต่อยากให้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของงาน เรื่องของการแสดง หรือจะให้เบาลงอีกก็ได้”

พิจารณาจากคำพูดข้างต้น ลำไย ไหทองคำ ก็ไม่ได้ดื้อรั้น หรืออยากจะทำลายศีลธรรมอันดี

เธอก็เหมือนคนที่ปากกัดตีนถีบคนหนึ่ง ในสังคมแห่งนี้

เมื่อมีความสามารถ และมีโอกาสก็ไขว่คว้ามันไว้

การที่จะเอามาตรฐานศีลธรรมอันสูงส่งไปบีบให้เธอต้องหยุดในสิ่งที่ทำก็ดูจะไม่เป็นธรรมกับเธอนัก

แถมคงไม่ได้เป็น “ตัวอย่างเด็กดี” อย่างคนอื่น ด้วยเธอไต่ไปบนเส้นอันบางเฉียบระหว่างศีลธรรม-ขัดศีลธรรม

ทั้งที่เธอก็สู้อย่างเต็มที่เพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว

ซึ่งก็เป็นเรื่องดีอยู่บ้าง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีทีท่าที่อ่อนและเปิดกว้างขึ้น

ด้วยคำพูดที่ว่า

“ผมเข้าใจดีว่าในทางธุรกิจจำเป็นต้องหาอะไรใหม่ๆ มา แต่ต้องดูว่าความเหมาะสมควรอยู่ตรงไหน ในเรื่องของการแสดง โลกเปลี่ยนไปก็ต้องช่วยกันคิดว่าเราจะช่วยกันสร้างค่านิยมของคนไทยอย่างไร ประเทศเราควรมีอัตลักษณ์ความเป็นไทยหรือไม่ ที่ผมเตือนไปว่าเรื่องการแต่งตัวอย่าให้เกินเลยกันไปมากนัก แต่ผมจะไปห้ามใครไม่ได้อยู่แล้ว ห้ามไม่ได้ แต่ที่สะท้อนกลับมาบอกว่ามันเป็นแบบนี้มานานแล้ว แล้วเราจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยหรือ เราจะต้องสร้างให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้หรือ ปล่อยให้เป็นสังคมแห่งความขัดแย้ง สังคมที่ไร้ขอบเขต อย่าลืมว่านี่คือประเทศไทย เราจะไม่เปลี่ยนแปลงให้สังคมดีขึ้นหรือ ไม่ใช่ว่าเราเห็นฝรั่งทำแล้วเราจะต้องทำตามทั้งหมด ไม่ได้ ประเทศไทยคือประเทศไทย”

ซึ่งจากคำพูดนี้ คงทำให้ ลำไย ไหทองคำ มีพื้นที่เพียงพอที่จะปรับตัวเพื่อนำไปสู่จุดสมดุลของตนเองได้ดีที่สุด และสังคมพอจะยอมรับได้

ไม่ใช่เมื่อเจ้าของอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ชี้นิ้วใส่ ว่านี่คือสิ่งบ่อนทำลายศีลธรรมอันดีแล้ว กลไกต่างๆ จะรีบช่วยกันพิพากษาและปิดพื้นที่ลงทันที เหมือนอย่างหลายกรณีที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า สังคมก็มีความหลากหลาย มีหลายรสนิยม ลำไย ไหทองคำ ที่ดูเหมือนจะหยาบโลนกับสังคมหนึ่ง

แต่อีกสังคมหนึ่งมันคือสิ่งที่ให้ความบันเทิง ความสนุกสนาน โดยไม่รู้สึกว่านี่คือการแสดงยั่วยุ ลามกอนาจารแต่อย่างใด

ตรงกันข้าม เป็นความสุขที่พอมีได้ ท่ามกลางการมีชีวิตจริงที่ต้องปากกัดตีนถีบ หยาบคาย หยาบกระด้าง กว่าสิ่งที่ ลำไย ไหทองคำ แสดงออกมากมายนัก

243,443,943 ไลก์ที่มีคนกดให้เธอผ่านยูทูบ ถือเป็น “ประชานิยม”

รวมทั้งเป็นกำลังใจให้กับ ลำไย ไหทองคำ ในการฟันฝ่าเสียงด่าว่า

และตอบคำถามข้อที่ 5 จากผู้นำประเทศได้อย่างมั่นใจ