จากสงครามกลางเมืองถึงโดมิโนเมียนมา /อภิญญา ตะวันออก

อภิญญา ตะวันออก

อัญเจียแขฺมร์

อภิญญา ตะวันออก

 

จากสงครามกลางเมืองถึงโดมิโนเมียนมา

 

ได้โปรด ขณะที่เมียนมากำลังลุกเป็นไฟกลายสภาพเป็นมิคสัญญีประเทศจากสงครามกลางเมือง พลัน ขญมบาทก็นึกถึงคำว่า “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ของรัฐไทย

ไฉน-น่ะรึ?

ชะรอยว่า จะซ้ำรอยจากยุคสงครามกลางเมืองจากประเทศเพื่อนบ้านอีกครา แต่จะ “บุญหล่นใส่” จากภาวะไม่ปกติเหมือนสมัยกัมพูชาเมื่อ 4 ทศวรรษก่อนหรือไม่

คืออะไรๆ ที่เคยสมประโยชน์ง่ายดายเหมือน นอกจากจะไม่เหมือนเดิมแล้ว สถานการณ์ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ยังน่าจะเชื่อว่า เอื้อประโยชน์ให้กระบวนการต่อต้านอำนาจรัฐเติบโตเหมือนยุคสงครามโดมิโนอีกครั้ง

และมันคืออะไร ในการกลับมาของเป็นสงครามตัวแทนนั้น?

กล่าวย้อนความ สมัยกัมพูชาเผชิญกับสงครามภายใน 2 ขั้วการเมืองจนเกิดความย่อยยับเป็นสงครามกลางเมือง “เสรีนิยมและคอมมิวนิสต์” จนกลายเป็นสงครามตัวแทน 2 มหาอำนาจ อเมริกัน-สหภาพโซเวียตจากสงครามเวียดนาม

เสียขวัญอย่างมากคือไทย ยิ่งเมื่ออเมริกันถอนทหารในไซ่ง่อนด้วยแล้ว ความกลัวว่า โดมิโนตัวนั้นจะรุกคืบและล้มลงมาในฝั่งไทย ดังที่กำลังเกิดขึ้นในลาว-กัมพูชาจนล้มครืนทั้งหมด ไม่เว้นระบอบกษัตริย์ และชัยชนะของลัทธิคอมมิวนิสต์ครานั้น ก็สุ่มเสี่ยงอย่างมาก ทันทีที่กองทัพเขมรแดงยึดครองกรุงพนมเปญ

โอ โดมิโนตัวนั้น กำลังเคลื่อนมาใกล้ และยากจะหยุดได้

มันกำลัง “ล้มคว่ำ” เข้ามาทางฝั่งไทย ช่างหายนะเสียกระไร

 

แต่ใครจะไปนึกว่า การที่อเมริกันถอนทัพกลับเปิดช่องให้ไทยใช้โอกาสพิสดารนี้ เจรจาทางลับและให้บังเอิญว่า ประธานเหมาแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ก็อยากตบกบาลความมักใหญ่ทะเยอทะยานพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่เพิ่งขึ้นมากุมพื้นที่ภูมิภาคเก่าของอินโดจีน

ปักกิ่งกับมอสโก-เขาไฟต์กัน

ด้วยแสนยานุภาพของกองทัพจีนที่บุกเข้ามาสั่งสอนเวียดนามจากแนวพรมแดนตอนบนจนครบ 10 วันก่อนจะถอยทัพออกไป สอนให้เวียดนามรู้ว่า หากจีนจะกรีธาทัพเข้ากรุงฮานอย-ก็ไม่น่าจะยาก ก็แค่อยากตบสั่งสอนเท่านั้น

กลายเป็น “บุญหล่นทับ” ต่อไทยแต่นั้นมาซึ่งก็เป็นไปตามคำร้องขอเจรจา แต่ใครจะไปนึกว่า การทูตครั้งนั้นมันจะง่ายดายและได้ผลประโยชน์มหาศาล สำหรับโครงการ “ต้านโดมิโน” เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามลดความอหังการ์ไปมาก

สำหรับ “ภารกิจลับ” ยืมมือจีนสยบเวียดนามหนนั้นเท่ากับจับปลา 2 ตัวด้วยกัมพูชาเอง หลังจากกัมพูชาประชาธิปไตยตั้งรัฐบาลเขมรแดงแล้ว การไขว้กันรอบสองของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนก็ยิ่งช่วยยันโดมิโนตัวนั้นไม่ให้ล้มครืนมาทางไทย

อาศัยบุญหล่นทับไม่พอ ยังกิน “บุญเก่า” อเมริกันจากฐานทัพที่ทิ้งไว้ เรียกว่า มิตรก็ให้คุณ ส่วนศัตรูก็ดันมาเปิดศึกกันเอง

อานิสงส์ “บุญรักษา” สกัดกั้นโดมิโนคอมมิวนิสต์หนนั้น ยังบันดาลให้เกิดนโยบายประเสริฐอย่าง “66/23” ที่ถูกประกาศใช้และกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จระดับชาติในการปราบคอมมิวนิสต์และ “ทฤษฎีโดมิโน” ที่เคยกลัวนักกลัวหนา ก็ยุติลงอย่างสันติวิธีและประนีประนอม

สมกับฉายา “อัพเยียกฤต!” (apyeakroet) แห่งความเป็นกลาง และต้านโดมิโนได้!

แถมเมื่อเขมรแดงเกิดพลาดท่าโดนกองทัพเวียดยึดกรุงพนมเปญ การทะลักครั้งใหญ่ของคลื่นมนุษย์ลี้ภัยตามแนวชายแดน และใครจะไปคิดว่า จากโดมิโนเอฟเฟ็กต์หนนั้นกลับสร้างอานิสงส์ ส่งไทยสู่แถวหน้าระดับเวทีนานาชาติจากนโยบายด้านมนุษยธรรม

แถมเมื่อกัมพูชาตอนเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตย ไทยก็ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าตามแคมเปญ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ

แต่ที่น่าเสียดายกว่านั้น คือคำสาปจากรัฐประหารที่ตามมาซ้ำรอยรอบแล้วรอบเล่า จนราวกับว่า จากโดมิโนเอฟเฟ็กต์จากระบอบคอมมิวนิสต์ของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้ให้บทเรียนใดๆ แก่ไทยในด้านการสร้างตนแห่งความ “อัพเยียกฤต!” ที่พึงเป็นนั้นเลย

 

จู่ๆ หลังเทือกเขาตะนาวศรี ดินแดนที่หลับใหลมานับสิบทศวรรษ จากจักรวรรดิอาณานิยมจนเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย

จาก “สหภาพพม่า” ในวันนั้น จนกลายเป็น “สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา” ในวันนี้ ใครจะไปเชื่อว่า บางที พระอาทิตย์อาจขึ้น ณ ใจกลางลุ่มน้ำอิระวดี-ตะวันตกของไทย นับแต่ 1 กุมภาพันธ์ หลังคำประกาศยึดอำนาจและล้มล้างการปกครองพลเรือนของกองทัพ

พลัน การลุกฮือต่อต้านของชาวเมียนมาก็ขยายตัวออกไปเช่นเดียวกับการปราบปรามอย่างโหดร้ายจนใกล้ความเป็นประเทศมิคสัญญี-สงครามกลางเมือง

และรังสีที่น่าสลดและตกตะลึงนี้ ยังคงแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง

แน่นอนประเทศ “อัพเยียกฤต” ตรงกลางอย่างไทย มีหรือจะไม่ได้รับผลกระทบจากลัทธิใหม่ที่เกิดจากขบวนการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “เจนซี” (generationZ)

หน่วยพระอาทิตย์จึงขึ้นที่นั่นเพราะเหตุนี้ โดยเฉพาะการที่มันแดงฉานไปด้วยสภาพอันนองเลือดจากการปราบปรามประชาชนของฝ่ายเผด็จการ ไม่ต่างจากสงครามกลางเมือง

แน่นอน การเคลื่อนไหวอย่างมั่นคงของชาวเมียนมาครั้งนี้ มันมีนัยยะบางอย่างราวกับเป็น “โดมิโนเอฟเฟ็กต์” ที่สร้างความตกตะลึงและปั่นป่วนต่อรัฐไทย ไม่ต่างจากครั้งกัมพูชาเมื่อ 4 ทศวรรษก่อน

สำหรับบทพิสูจน์ครั้งใหม่ใน “โดมิโนเมียนมา” และทฤษฎีการต่อสู้อย่างเปิดหน้าของฝ่ายประชาธิปไตย

โอ “อัพเยียกฤตแลนด์” แห่งความเป็นกลาง บัดนี้บททดสอบนั้นกำลังจะมา

 

นี่ไม่ใช่ภารกิจอันง่าย ราวกับบุญหล่นทับเหมือนสมัยนโยบาย 66/23 อีกแล้ว

สำหรับความซับซ้อน ยุ่งเหยิง พัวพัน และความมองไม่เห็นในความเป็นปัญหาที่แน่ชัด เนื่องจากโดมิโนเมียนมาหนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครครอบครองเป็นเจ้าของทฤษฎี

การต่อสู้ที่มาพร้อมกับลัทธิเสรีนิยมแบบศตวรรษที่ 21 ที่ได้การติดปีกจากยุคปฏิวัติเทคโนโลยี

และนี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกๆ ก็ว่าได้ ที่กับดักแห่งความ “อัพเยียกฤต” ตรงกลาง ดูจะไม่ให้คุณกับไทยมากเช่นในอดีต

อันตรงข้าม ความหวาดระแวงต่อโดมิโนเอฟเฟ็กต์ของเมียนมาครั้งนี้ ดูจะทำให้รัฐไทยติดกับดักในสภาพที่ไม่เคยประสบพบพาน ซ้ำบุญยังไม่หล่นทับ

เมื่อขบวนการต่อต้านเผด็จของเมียนมากลับกลุ่มก้อนเดียวกันกับมนุษย์เจนซีที่เคลื่อนไหวเรียกร้องการปฏิรูปสังคมอย่างก้าวหน้าเช่นที่ไม่เคยมีมาก่อน

ใครจะรู้? หากกระบวนการต่อสู้ของประชาชนชาวเมียนมากับกองกำลังชาติพันธุ์ โดยในทันทีว่า นี่คือ พลวัตแห่งทฤษฎีใหม่ที่อาจขุดรากถอนโคนระบอบเผด็จการทหาร

จากอิระวดี และ “โดมิโนเมียนมา” ที่อาจคราสผ่านถึงเจ้าพระยาของประเทศไทย

ถูกแล้ว ไม่มีใครรู้ว่า “พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือไม่?”

เช่นเดียวกับ “สหพันธรัฐแห่งสหภาพเมียนมา” ที่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอดีตก็ได้ เพราะพระอาทิตย์ไม่ได้ “อัสดงทางตะวันตก” เสมอไป สำหรับการตีความของทฤษฎีโดมิโนยุคใหม่ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่มีราษฎรเป็นศูนย์กลาง

ในความ “ร่วมสมัย” ของคลื่น “พลวัต” ที่จักเคลื่อนไปด้วยกันโดยอิทธิพลโลกใหม่ในแบบเสรีนิยมที่รุนแรงและแฝงเร้นไปด้วยเครือข่ายเทคโนโลยี

ซึ่งหากว่า คลื่นโดมิโนเมียนมาจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันครั้งใหญ่นี้ นั่นกับเท่า เทกระจาดเป็นลูกระนาดของระบอบปกครองเก่า จากลัทธิเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย

ก็จงอย่าได้สะทกสะท้านต่อพระอาทิตย์ดวงใหม่ที่จะไม่อัสดงแบบเดิมอีกต่อไป!

 

ผู้คนอาจขมขื่น โศกเศร้า แต่เมียนมาโมเดลที่แลกด้วยความสูญเสียครั้งใหญ่ในรอบศตวรรษที่ 21 ของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประชาคมที่ยิ่งใหญ่แต่กลับมีจุดเปราะบางอันเกิดจากระบอบปกครองแบบเผด็จทหารกึ่งประชาธิปไตยที่สร้างความทุกข์ยาก ลิดรอนสิทธิประชาชน

แด่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของโดมิโนเมียนมา

และโปรดล้มมาทางเรา

*รูปประท้วงในเมียนมา และหรือสงครามในเขมร*