เครื่องเคียงข้างจอ : เฉินหลง ผู้ชายธรรมดาที่ไม่ธรรมดา / วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

 

เฉินหลง ผู้ชายธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

 

เฉินหลง หรือชื่อที่คนส่วนใหญ่รู้จักในนาม Jackie Chan เขามีอายุครบ 67 ปีในปีนี้

ผมได้อ่านเรื่องราวของเขาผ่านหนังสือ เฉินหลง : Never Grow Up ที่ตัวเขาบอกเล่าให้คนที่สนิทสนมไว้ใจชื่อจูม่อเรียบเรียงขึ้น และแปลโดยอนุรักษ์ กิจไพบูลทวี

หนังสือเล่มหนา 432 หน้า ปกสวยด้วยรูปเฉินหลงกับตุ๊กตารางวัลออสการ์ที่เขาได้รับในฐานะรางวัลเกียรติยศจากงานแจกรางวัลปี 2016 ในเล่มก็ชวนดูด้วยรูปภาพของเฉินหลงที่เราไม่ค่อยได้เห็น

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนประวัติชีวิตที่เล่าเรียงตาม Timeline อายุ แต่เหมือนนึกอะไรได้ก็บันทึกไว้ และจัดเป็นหมวดหมู่ บางเรื่องสั้น บางเรื่องยาว แต่ทั้งหมดมาจากความทรงจำและการบอกเล่าของเฉินหลงทั้งหมด มีคนในวงการเขียนคำนำให้เขาคนละหนึ่งประโยคถึง 152 คน นั่นแสดงถึงความเป็นที่รักของเขาที่มีต่อคนอื่นๆ

นี่คือส่วนหนึ่งของคนที่เขียนถึงเขา

หยวนเปียว นายมีพลังอย่างหนึ่ง แบกความรับผิดชอบทั้งปวง

หลิวเต๋อหัว เพื่อนเอ๋ย คุณได้ทำให้เรื่องธรรมดา ไม่ธรรมดา ให้เรื่องที่เรียบง่าย ไม่เรียบง่าย

ฉีเคอะ คนดีที่หาได้ยากยิ่งทั้งอดีต ปัจจุบัน ในประเทศและต่างประเทศ

 

ผมรู้จักเฉินหลงแบบที่คนดูหนังหลายคนรู้จัก คือ เป็นนักแสดงแอ๊กชั่น คิวบู๊ของเขาน่าดูและมีมุขตลก ที่จดจำคือ เล่นเองเจ็บเอง ไม่ใช้สตั๊นต์ และที่ทุกคนรอคอยคือภาพหลุดหลังการถ่ายทำในช่วงเครดิตท้ายของหนัง เป็นคนเดียวที่ทำให้คนดูไม่ลุกออกจากโรงแม้หนังจบแล้ว เพื่อรอชมและหัวเราะกับความผิดพลาดจากภาพหลุดเหล่านั้น

ในหนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้นและหลากหลายมุม ต้องหาอ่านกันเองละกัน แต่จะหยิบยกมาเล่าให้ฟังในบางเรื่อง

เมื่อวงการหนังแอ๊กชั่นฮ่องกงสูญเสียบรูซ ลี ไป พวกเขาก็พยายามสร้างคนขึ้นมาแทนที่ หนึ่งในนั้นคือเฉินหลงด้วย แน่นอนที่ไม่มีใครแทนใครได้ และการหาบรูซ ลี หมายเลข 2 ก็ล้มเหลว แต่วงการได้พระเอกนักบู๊คนใหม่ขึ้นมาแทนคือ “เฉินหลง”

เฉินหลงออกแบบตัวตนของเขาในการแจ้งเกิดเองว่าควรเป็น “พระเอกแอ๊กชั่นแนวไหน”

บรูซ ลี ในสายตาของผู้ชมคือฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบ ฝีมือฉกาจฉกรรจ์ ปล่อยพลังหมัดออกไปไม่กี่ทีก็เล่นงานคู่ต่อสู้ได้อยู่หมัด ไม่เคยผิดพลาด และดูดีเสมอ

เฉินหลงคิดว่าลักษณะอย่างนี้ห่างไกลจากชีวิตจริงของคน เขาอยากเป็นตัวแทนของคนดูทั่วไป จึงวางให้ตัวเองไม่ได้หล่อ ไม่ได้เก่งไปหมด มีจุดบกพร่องและข้อจำกัด ทำอะไรก็มักผิดพลาด คิวการต่อสู้มาจากการต้องป้องกันตัวเองมากกว่าจะไประรานทำร้ายใครก่อน และความผิดพลาดจากการต่อสู้ หรือลูกฟลุกที่ถูกออกแบบไว้ จึงเรียกเสียงหัวเราะและเสียงเชียร์จากผู้ชมได้

“บรูซ ลี มักจะเตะสูงมาก งั้นผมก็เตะให้ต่ำหน่อย บรูซ ลี เวลาสู้กับใครจะร้องเสียงดัง เพื่อแสดงพลังและความโกรธของเขา งั้นตอนสู้กันผมจะร้องไปพลางทำหน้าทะเล้นไปพลาง เพื่อบอกว่าตัวเองเจ็บมากแค่ไหน” เฉินหลงวาดภาพในสมองให้ผู้อำนวยการสร้างฟัง

ความแตกต่างนี้ทำให้เขาแจ้งเกิด และสร้างความตื่นตะลึงในโลกภาพยนตร์อย่างมาก

แต่กว่าที่เขาจะสำเร็จ เขาต้องเจ็บตัว ผิดหวัง โดนหักหลัง และหมดกำลังใจทดท้อไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แต่ความไม่ยอมแพ้และเป็นนักสู้ของเขาทำให้เขามายืนถึงจุดสูงสุดของชีวิตได้

 

บนเวทีออสการ์ที่เขาได้รับรางวัล นักแสดงชื่อดัง ทอม แฮงก์ส ให้เกียรติเป็นผู้กล่าวคำสดุดีเขา ส่วนหนึ่งที่แฮงก์สล่าวคือ

“…การแสดงอันยิ่งใหญ่ถูกนำเสนอได้หลากหลายรูปแบบ แต่ถ้าคุณเป็นนักแสดงคนหนึ่ง เมื่อไหร่ที่คุณเห็นมัน คุณจะรู้ทันที ภาพยนตร์ของแจ๊กกี้ ชาน จริงจังมาก บางครั้งจริงจังจนน่าขนลุก ขณะเดียวกันยังทำให้ผู้ชมนับล้านทั่วโลกหัวเราะตัวงอ

ในด้านหนึ่ง คุณพูดได้ว่าเขาคือจอห์น เวย์น ในภาพยนตร์เคร่งขรึม ขณะเดียวกันยังเป็นบัสเตอร์ คีตัน ในภาพยนตร์ตลก เป็นไปได้อย่างไรที่ทั้งหมดนี้จะมาจากตัวคนคนเดียว ความสามารถของเขาเป็นสิ่งมหัศชานโดยแท้…”

ทอม แฮงก์ส ได้สร้างคำขึ้นใหม่เพื่อเขาโดยเฉพาะ นั่นคือคำว่า Chantastic โดยเอาชื่อ Chan ของเขาผสมกับ Fantastic ออกมาเป็น Chantastic มหัศชาน ได้อย่างแยบยล

 

นอกจากเกร็ดที่สะท้อนความเป็นมหัศชาน ที่ปรากฏเต็มไปหมดในหนังสือเล่มนี้ เรายังจะได้เห็นมุมอื่นที่น่าสนใจของเขาอีกด้วย เฉินหลงมาจากคนทำงานเบื้องหลังตัวเล็กๆ ก่อนจะเป็นนักแสดงตัวเล็กๆ และใช้ชีวิตทั้งชีวิตที่สร้างตัวเองขึ้นมาเป็นนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ เขาจึงเห็นอกเห็นใจ “ผู้น้อย” ที่มักถูกลืมเลือนเสมอ

ในการให้สัมภาษณ์หนังเรื่องใหม่ของเขากับสื่อมวลชนครั้งหนึ่ง แม้แต่การจัดที่นั่งเขาก็จะจัดเอง โดยให้นักแสดงหญิงที่ร่วมแสดงที่สื่อไม่ให้ความสำคัญได้นั่งใกล้ๆ เขาและเขาจะโยนคำถามไปให้เธอตอบ เพื่อให้เธอได้มีโอกาสฉายแสงของความเป็นดาราออกมา

พอเปลี่ยนการสัมภาษณ์ก็จะสลับให้นักแสดงหญิงคนอื่นมานั่งบ้างอย่างเท่าเทียมกัน

เขามักสอนนักแสดงรุ่นหลังๆ ว่า “จำไว้ การให้สัมภาษณ์ครั้งไหนๆ ก็ตาม ล้วนเป็นการสัมภาษณ์ครั้งแรก”

เฉินหลงบอกอีกว่า ไม่ว่าคุณจะให้สัมภาษณ์ไปแล้วกี่ครั้ง สำหรับนักข่าวแล้ว เขาสัมภาษณ์คุณเป็นครั้งแรก ไม่มีเหตุผลที่คุณจะไม่เคารพการทำงานของอีกฝ่าย อีกอย่างผู้ชมที่ดูคุณสัมภาษณ์ก็เห็นคุณเป็นครั้งแรกเช่นกัน ถ้าคุณทำหน้าซังกะตาย คนอื่นทำไมต้องมาดูคุณล่ะ

 

เฉินหลงมีนิสัยชอบสอนคน เพราะประสบการณ์ที่ผิดพลาดของเขาสอนตัวเขา และเขาก็เอามาสอนต่อ อย่างกับทีมงานเจซี สตั๊นต์ทีมของเขา เขาจะบอกว่า อยู่ในกองถ่าย อย่ามัวแต่จับกลุ่มคุยเฮฮาหัวเราะเอาสนุกและเล่นการพนันกัน ในกองถ่ายมีอะไรให้เรียนรู้เยอะแยะ ถ้าเราคิดเป็น เราก็จะได้ความรู้มากมาย เพื่อจะได้ไม่ย่ำอยู่แค่นี้

นอกจากนั้น เขายังเป็นคนใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างมาก

ในกองถ่ายของเขา จัดให้มีที่เฉพาะสำหรับคนสูบบุหรี่ จัดที่สำหรับดื่มเครื่องดื่ม มีฝ่ายของว่าง ฝ่ายกาแฟ ทีมงานตัวเล็กตัวน้อยก็ต้องได้กินดีกินอิ่มเท่าเทียมกัน เวลากินข้าวต้องเข้าแถว กินเสร็จต้องต่อแถวไปเก็บจาน-ชามให้เรียบร้อย

เขาจะยืนคุมเองเลย ดูว่าใครวางจาน-ชามอย่างไร หากใครคนหนึ่งวางเบี้ยว ใบถัดไปก็จะเบี้ยวไปหมด

นื่คือรายละเอียดเล็กๆ แต่เขาใส่ใจ

 

เชื่อว่าเรื่องราวส่วนตัวของเขาแบบชีวิตรัก คงมีหลายคนอยากรู้ ในหนังสือได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียด บอกเล่าผ่านผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และหลายคนอาจจะไม่เคยรู้เลยว่า เขาเคยมีช่วงชีวิตรักร่วมกันกับนักร้องดังที่ชื่อ “เติ้งลี่จวิน” เจ้าของเพลงดังก้องโลก “เถียนมี่มี่”

ทั้งสองคนได้พบเจอกันที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เป็นการเจอกันของคนดังสองคน ที่คนที่นั่นไม่มีใครรู้จักในตอนนั้น เฉินหลงเดินทางไปเตรียมตัวเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาโด่งดังในฮ่องกงแล้ว และเติ้งลี่จวินซึ่งเป็นนักร้องไต้หวันที่โด่งดัง มีอันให้หลบข่าวคราวด้านลบกับเธอไปใช้ชีวิตที่นั่น

คนเหงาสองคนเจอกัน จึงพัฒนาเป็นความรัก และได้ใช้ชีวิตประจำวันร่วมกันประหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน

“เป็นครั้งแรกที่ผมอยู่อเมริกาอย่างมีความสุขที่สุด เราสองคนมักไปเรียนภาษาอังกฤษด้วยกัน เดินเล่น ถ่ายรูป กินปูที่ชายทะเลด้วยกัน…ผมไม่รู้ว่านับเป็นการมีความรักหรือเปล่า ที่นั่นผมไม่มีคนจีนที่รู้จัก เธอเป็นเพียงคนเดียวที่พูดภาษาจีนกับผม การเจอเธอทุกวันคือความสุขเพียงหนึ่งเดียวของผมในตอนนั้น”

เรื่องราวของคนทั้งสองมีให้อ่านราวกับนิยายรักสนุกๆ เรื่องหนึ่งทีเดียว แต่ด้วยความแตกต่างกันอย่างมากในตัวตนของกันและกัน หลังจากเฉินหลงเดินทางกลับมาถ่ายทำหนังที่ฮ่องกง และเติ้งลี่จวินกลับไปร้องเพลงที่ไต้หวัน ความสัมพันธ์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป

ครั้งหนึ่งเธอโทร.ทางไกลมาหาเขา แต่ไม่ได้พูดกัน เธอสั่งข้อความไว้ให้โทร.กลับ แต่เขาก็วุ่นกับงานจนไม่ได้โทร. หลังจากนั้นสองสามวัน เขาก็ได้รับข่าวว่าเธอเสียชีวิตจากโรคประจำตัว ที่ จ.เชียงใหม่ เขาช็อก และน้ำตาไหลพรากๆ ไม่หยุด

เป็นรอยด่างในใจของเขาตลอดมาจนทุกวันนี้

 

สําหรับผู้หญิงที่เป็นคู่ชีวิตที่แท้จริงของเขาคือ โจแอน ลิน เป็นนักแสดงสาวชาวไต้หวัน ทั้งคู่พบกันและคบหากันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีใครต้องฝืนตัวเองเพื่ออีกคน ซึ่งหากจะมีใครปรับตัวมากหน่อยก็ต้องเป็นโจแอน

และเมื่อทั้งสองตกลงใจใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน เธอก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เธอเป็นภรรยาที่ยอดเยี่ยม

และเป็นแม่ของลูกที่วิเศษสุด

ชีวิตรักของเขาทั้งสองมีอะไรให้คนอ่านได้เรียนรู้หลายอย่าง และคุณจะพบคำตอบว่าทำไมสุดท้ายแล้ว เฉินหลงถึงได้ยอมเขียนพินัยกรรมยกทุกอย่างของเขาให้กับภรรยาแต่เพียงผู้เดียว

ด้วยความเต็มใจ

 

มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกมากเกี่ยวกับเฉินหลงที่คุณจะได้รู้ เช่น เชื่อไหมว่านักแสดงแอ๊กชั่นเต็มตัวอย่างเขาจะกลัวเข็มฉีดยาอย่างมาก จนยอมทนเจ็บปางตายดีกว่าโดนเย็บแผล หรือตั้งแต่เส้นผมถึงปลายเท้า ทุกตารางนิ้วบนตัวเขา เคยบาดเจ็บมาหมดแล้ว

หรือเขาชื่นชอบหนังสืออย่างมาก หนังสือเล่มไหนที่เขาชอบ เขาจะซื้อทีเดียวสามเล่ม เก็บไว้บนตู้เล่มหนึ่ง เอาไว้อ่านเองเล่มหนึ่ง และเอาไว้ให้คนอื่นอ่านหรือใช้งานอีกเล่มหนึ่ง

ในงานออสการ์ที่เขาได้รับรางวัลเกียรติยศนั้น เขาได้กล่าวหลังรับรางวัลโดยขอบคุณบุคคลต่างๆ แน่ละที่ต้องมีครอบครัว และเจซี สตั๊นต์ทีมของเขา รวมถึงแฟนๆ ภาพยนตร์ของเขาด้วย โดยกล่าวว่า

“…และสำคัญที่สุด ขอบคุณแฟนๆ ของผมทั่วโลก เป็นเพราะพวกคุณ ผมจึงมีแรงผลักดันให้ถ่ายภาพยนตร์ กระโดดทะลุหน้าต่าง เตะและต่อย กระดูกหักต่อไป…”

นี่คือเขา เฉินหลง Jackie Chan ผู้ชายธรรมดาที่ไม่ธรรมดา