ชัยชนะของพวกท่านไม่ได้ยั่งยืน : คุยกับ อมรัตน์ ก้าวไกล ตั้งคำถามรัฐบาล-กระบวนการยุติธรรม

รายงานพิเศษ : พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

เราเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้ว แต่ท่านเอาคนหนุ่มสาวไปขัง ?

อมรัตน์ ก้าวไกลตั้งคำถามรัฐบาล-กระบวนการยุติธรรม

 

“ดิฉันเชื่อว่าชัยชนะของพวกท่านไม่ได้ยั่งยืน อยากจะบอกตรงนี้ว่า คนที่เขาจะเติบโตมาในอนาคต ต่อให้พวกคุณจะจับแกนนำไปขัง มันก็จะมีคนที่เติบโตขึ้นมาอีกอย่างไม่ขาดสายพวกท่านหมดความชอบธรรม ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือในระดับผู้นำไปเรื่อยๆ แล้ว ก็อยากฝากให้เก็บไปคิดด้วย อาจจะยังไม่สายเกินไปที่พวกท่านจะก้าวลงจากอำนาจในตอนนี้”

อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.พรรคก้าวไกล ผู้อภิปรายเชือด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลางสภามาหลายหน กล่าวถึงชะตากรรมของรัฐบาลหลังจากนี้

อมรัตน์กล่าวว่า ได้ยินบ่อยว่าคนพูดเรื่องม็อบแผ่ว หรือเป็นช่วงที่ผู้ชุมนุมขาลงแล้ว ส่วนตัวเท่าที่ได้เห็นไปสังเกตการณ์คิดว่าไม่ได้เป็นขาลง เราก็เห็นมาโดยตลอดว่าช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา การชุมนุมที่เกิดขึ้นในประเทศ ม็อบเยาวชนครั้งล่าสุดนี้ถือว่าเป็นม็อบออร์แกนิกส์ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ได้มีการจัดตั้ง ไม่ได้เหมือนกับยุคสมัยเสื้อแดง ยุค กปปส. ยุคพันธมิตรทั้งหลาย ไม่ได้เป็นลักษณะการทำม็อบแบบในอดีต แต่ครั้งนี้เขามาด้วยความเข้าใจ มาด้วยความคับแค้นใจ ไม่ต้องมีรถบัสออกไปรับ ไม่ได้มีผู้แทนฯ หรือ ส.ส.แต่ละจังหวัดแต่ละพรรคเอารถบัสไปรับมาทั้งหมู่บ้าน หรือว่ามีลงทุนอาหารการกิน มีที่นอนให้

นี่เป็นม็อบธรรมชาติ แล้วถูกสกัดกั้นทุกวิถีทาง ที่เราเห็นว่ามีการแสดงออกทั่วประเทศ เบ่งบานเมื่อช่วงปลายปี 2563 ทางรัฐบาลก็มีการออกไปข่มขู่คนที่ออกมาร่วมม็อบ ไม่ก็ออกไปข่มขู่ผู้ปกครอง ข่มขู่เจ้าอาวาส หรือบุคคลที่เป็นที่เคารพนับถือ

ถ้าเทียบกับการใช้สรรพกำลังในการข่มขู่และยัดเยียดคดีความที่ไม่เป็นธรรมให้กับผู้ชุมนุมโดยอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยใช้กฎหมายมาเป็นเครื่องมือในการทำให้เกิดความกลัว กดทับด้วยการขู่ แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีคนออกมา

จึงคิดว่าไม่ได้แผ่ว

และนี่น่าจะเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการปรับกระบวนการชุมนุม

น้องๆ นิสิต นักศึกษา และพลังของคนหนุ่ม-สาวที่ออกมาในช่วงนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของพวกเขา คนที่อายุ 20 ต้นๆ เขาก็ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ในอดีตมีชุมนุมมา นี่คือช่วงถอดบทเรียนที่เป็นการปรับกระบวน หลังจากที่โดนกระหน่ำด้วยคดีความ

อย่างที่บอกไปว่าไม่ได้มีผู้สนับสนุน ไม่ได้มีท่อน้ำเลี้ยงที่เป็นนายทุนใหญ่ๆ ทรัพยากรปัจจัยที่มีน้อย การเดินทางของคนหนุ่ม-สาวที่มาได้ไกลขนาดนี้ก็ถือว่ามหาศาลแล้ว

สำคัญที่สุดม็อบดังกล่าวนี้ไม่ได้มีทีท่าว่าจะมีการเปลี่ยนจุดยืนอย่างง่ายดาย หมายถึงคนที่ตื่นขึ้นมาแล้วก็จะไม่ได้หลับไปอีก

อย่างในอดีตที่ผ่านมาขนมากันทั้งหมู่บ้าน มีอาหารดีดนตรีไพเราะ มีรถรับ-ส่ง เวลาผ่านไป บางคนที่เคยไปร่วมก็เปลี่ยนจุดยืนง่าย แต่ในม็อบยุคปัจจุบัน เขามีจุดยืนที่ชัดว่าเขาต้องการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เป็นแล้วเป็นเลยไม่สามารถที่จะมาเปลี่ยนจุดยืนได้ด้วยการให้ประชานิยม หรือการให้ผลประโยชน์อะไรตอบแทน สิ่งเหล่านี้คือความยั่งยืน และมีแนวโน้มจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนคนที่ไม่ได้ออกมา เนื่องจากว่าเป็นแฟลชม็อบ การเดินทางไม่สะดวก เช่น คนจากต่างจังหวัด ก็เดินทางมาไม่ได้เพราะไม่ได้มีการค้างคืน มีกิจกรรมแค่ 3-4 ชั่วโมง ก็ไม่มีที่พักแรม เขาจะต้องเตรียมตัวทั้งค่ารถ ค่าที่พัก เตรียมโรงแรมอะไรต่างๆ

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พลังจากต่างจังหวัดไม่ได้มาสมทบได้อย่างเต็มที่พอ

ถ้าพูดถึงกระบวนการยุติธรรม อมรัตน์กล่าวว่า ที่ผ่านมานึกถึงคำของท่านอดีตผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ที่เสียชีวิตไปและทิ้งข้อความหนึ่งไว้ว่า “คืนคําพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน”

ก็อยากจะมองว่ากระบวนการยุติธรรมของบ้านเราเสื่อมลงมากๆ อย่างการที่ไม่ให้การประกันตัวผู้ที่บริสุทธิ์ ดังที่กระบวนการพิจารณาคดีอาญา ตามมาตรา 107 ก็บอกชัดเจนแล้วว่าต้องให้สิทธิ์ในการประกันทุกกรณี

หรือรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรค 2 ก็ระบุชัดเจนว่าจะต้องปฏิบัติกับคนที่ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาว่าให้มีความผิด เราจะไปปฏิบัติกับเขาเหมือนกับเป็นนักโทษไม่ได้

เราเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้ว เป็นศตวรรษที่ท่านต้องไว้เนื้อเชื่อใจ ให้เกียรติประชาชน ให้เกียรติเยาวชนคนหนุ่ม-สาวว่าเขามีการเรียนรู้และเขาก็รู้ทัน เป็นโลกแห่งยุคที่มีอินเตอร์เน็ต มี Social Media

การจะมาหลอกกันในแบบอดีตไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

พูดถึงรัฐบาลชุดนี้ก็จนคำพูดเหมือนกัน นานาประเทศก็มองเราอยู่ และอย่างยิ่งท่านยังคงทำตัวแบบนี้ ผู้นำของไทยเราท่านก็จะกลายเป็นตัวตลกระดับสากล ปากบอกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่การกระทำนั้นสวนทาง ซึ่งพวกท่านจะเหนื่อยเอง รัฐบาลก็จะเหนื่อยเองถ้าหากยังไม่ปรับตัว ก็จะโดดเดี่ยว เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มีความชอบธรรม แล้วท่านจะถูกเช็กบิลในที่สุด

พร้อมกันนี้ยังมีทีท่าจากคนบางกลุ่มว่า จะย้อนยุคไปสู่ก่อนประชาธิปไตย อย่างที่เราเห็นว่ามีชนชั้นนำบางท่านบางกลุ่มออกมาพูดว่าอยากให้การปกครองเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วยซ้ำ

ส่วนการที่ฝ่ายประชาธิปไตยมีความขัดแย้งกันเอง อมรัตน์ย้ำว่า นี่จะเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่า นี่คือม็อบที่ไม่ได้มีการจัดตั้ง ไม่ได้มีเบื้องหลังนี่เป็นคำตอบได้ดีว่า ถ้าหากม็อบมีนายทุนหนุนหลัง มีพรรคการเมืองจัดตั้งมาจะไม่เกิดสภาพแบบนี้

นี่เป็นม็อบที่ออกมากันเองธรรมชาติ และธรรมชาติของเสรีชนก็เป็นแบบนี้ เมื่อเดินไปถึงจุดหนึ่งคุณก็ไม่มีใครที่จะสามารถไปสั่งใครให้ซ้ายหันขวาหันได้ ไม่ได้เป็นลักษณะแบบกองทัพที่จะมาสั่งกันได้

นี่ก็เป็นธรรมดาที่กระบวนการจะต้องมีความขัดแย้ง แต่เป้าประสงค์ใหญ่ ก็คือการไปสู่จุดหมายเดียวกันอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้ ถ้าไปศึกษาประวัติการต่อสู้ในทุกประเทศทั่วโลกก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ก็ไม่เป็นไร มันเป็นขั้นตอนของการเรียนรู้

อยากจะฝากบอกคุณประยุทธ์ว่า โลกในศตวรรษที่ 21 เป็นโลกที่ไร้พรมแดน ความมั่นคงของรัฐแบบในสมัยก่อน มันไม่ใช่เรื่องสงครามทางภูมิศาสตร์อาณาเขตของประเทศอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันเปลี่ยนมาเป็นความมั่นคงของมนุษย์ ความมั่นคงในทางเศรษฐศาสตร์ ความมั่นคงของการอยู่ดีกินดี ความมั่นคงในการที่จะมีแหล่งน้ำและอากาศหายใจ

ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องปรับตัว

การที่เอาเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติไปขังเอาไว้ ซึ่งเยาวชนคนหนุ่ม-สาวที่ต่างชาติเขาให้การยอมรับ อย่างเช่น รางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชนของเกาหลีใต้ ที่เขาเอาชื่อของไผ่ ดาวดิน เอาชื่อของทนายอานนท์ นำภา ขึ้นไปอยู่ในหอเกียรติยศนักต่อสู้กับระบอบที่เลวร้ายของเผด็จการทหาร ซึ่งเป็นที่มาของรางวัลนี้ หรือรุ้ง ปนัสยา เขาได้เป็น 1 ใน 20 ผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลแห่งปีที่ถูกจัดอันดับในโลกของปีที่แล้ว

แต่พวกท่านเอาอนาคตของชาติ เอาพลังของคนหนุ่ม-สาวเอาไปไว้ในเรือนจำ

อยากถามว่าพวกท่านใช้จิตสำนึกอะไร ท่านทำไปได้อย่างไร คนที่คนทั้งโลกเขายอมรับและให้เกียรติ แต่พวกท่านกลับทำกับเยาวชนคนหนุ่ม-สาวแบบนี้

ดิฉันเชื่อว่าชัยชนะของพวกท่านไม่ได้ยั่งยืน อยากจะบอกตรงนี้ว่า คนที่เขาจะเติบโตมาในอนาคต ต่อให้พวกคุณจะจับแกนนำไปขัง มันก็จะมีคนที่เติบโตขึ้นมาอีกอย่างไม่ขาดสาย พวกท่านหมดความชอบธรรม ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือในระดับผู้นำไปเรื่อยๆ แล้ว

ก็อยากฝากให้เก็บไปคิดด้วย อาจจะยังไม่สายเกินไปที่พวกท่านจะก้าวลงจากอำนาจในตอนนี้

ชมคลิป