ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
ในการใช้มารดาแห่งระเบิดถล่มอัฟกานิสถาน เชื่อกันว่ามีพลเรือนเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก แม้สหรัฐจะอ้างว่ามีแต่กลุ่มนักสู้ติดอาวุธเท่านั้นที่ถูกสังหารก็ตาม สหรัฐหาเหตุผลในการใช้อาวุธดังกล่าวว่าเป็นไปตามคำเรียกร้องของรัฐบาลอัฟกานิสถาน ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับกองกำลังของไอเอสหรือดาอิชห์ (Daesh) อยู่
นายพล John Nicholson ผู้บัญชาการทหารของสหรัฐในอัฟกานิสถานกล่าวว่า การตัดสินใจใช้อาวุธที่มีพลังที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ของทหารสหรัฐครั้งนี้ได้บอกให้ประธานาธิบดี อัชร็อฟ กอนี (Ashraf Ghani) ของอัฟกานิสถานรับทราบแล้ว
ระเบิดลูกนี้ใช้ต่อต้านนักต่อสู้ไอเอส ซึ่งมีอยู่ราว 200 คน เป็นการโจมตีที่กระทำร่วมกันของทหารอัฟกันและกองกำลังพิเศษของสหรัฐ
โดยก่อนหน้าที่มารดาแห่งระเบิดจะถูกปล่อยลงในอัฟกานิสถานหนึ่งสัปดาห์ ทหารของสหรัฐจากกองกำลังพิเศษจำนวนหนึ่งได้ถูกสังหารในเมืองนันกาฮาร์
ทหารสหรัฐอ้างว่ากองกำลังไอเอสมากกว่า 90 นายถูกสังหารอันเนื่องมาจากการโจมตีด้วยมารดาแห่งระเบิด แต่กองกำลังไอเอสเองได้แต่บอกว่าไม่มีความสูญเสียใดๆ เกิดขึ้นกับพวกเขาแม้แต่น้อย
มารดาแห่งระเบิดนี้มีค่าสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังได้กล่าวมาแล้ว การใช้ระเบิดขนาดยักษ์ในอัฟกานิสถานและการยิงจรวดโทมาฮอว์กต่อต้านซีเรีย 59 ลูก เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้แก่ศัตรูของสหรัฐ อย่างเช่น เกาหลีเหนือและอิหร่านได้รับรู้ว่าฝ่ายบริหารของทรัมป์จะไม่คิดมากก่อนจะใช้มาตรการที่รุนแรงตอบโต้ประเทศที่สหรัฐคิดว่าเป็นศัตรู
อย่างไรก็ตาม ในบางช่วงของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการใช้ระเบิดอย่างเดียวไม่อาจเอาชนะศัตรูหรือชาติหนึ่งชาติใดได้ ดังเช่นสหรัฐเคยทิ้งระเบิดปูพรมเกาหลีเหนือระหว่างสงครามเกาหลี (Korean War) ในทศวรรษ 1950 และทศวรรษ 1970 แต่ก็ทำอะไรเกาหลีเหนือไม่ได้มากนัก
ก่อนหน้านี้สหรัฐทิ้งระเบิดเชื้อเพลิงที่มีน้ำหนัก 2,500 กิโลกรัมอย่างไม่มีประโยชน์เพื่อทำลายผู้นำอัล-กออิดะฮ์ที่ซ่อนตัวอยู่ที่เทือกเขาโตรา โบรา (Tora Bora) มาแล้วเช่นกัน
แต่กองกำลังนี้ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่ต่อไปจนถึงปัจจุบัน
ทรัมป์และที่ปรึกษาของเขาไม่มียุทธศาสตร์ระยะยาวที่จะเอาชนะทั้งกองกำลังฏอลิบานหรือไอเอสในอัฟกานิสถาน แม้ว่าในเดือนมีนาคม (2017) กองกำลังของสหรัฐจะเข้าโจมตีไอเอสในเมืองนันกาฮาร์และเมืองกุนาร (Kunar) ซึ่งอยู่ติดกันมาแล้วก็ตาม
UN ได้แสดงความห่วงใยถึงความสูญเสียของพลเรือนที่มีมากขึ้นจากการโจมตีของสหรัฐ ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้ออกคำสั่งให้ใช้เครื่องบินไร้คนขับ (drone) เข้าโจมตีใน “เขตสงคราม” โดยมีทหารสหรัฐปฏิบัติงานอย่างแข็งขันอยู่ในอัฟกานิสถาน
กองกำลังของฝ่ายฏอลิบานซึ่งเข้ากันไม่ได้กับไอเอสได้ขยายตัวเข้าครอบคลุมผืนแผ่นดินอัฟกานิสถานอยู่ในเวลานี้ โดยในปัจจุบันกองกำลังฏอลิบานได้ครอบครองพื้นที่ 1 ในสามของประเทศที่เต็มไปด้วยสงครามแห่งนี้ ทั้งๆ ที่สหรัฐได้เข้ามาช่วยรัฐบาลอัฟกานิสถานต่อสู้กับกองกำลังฏอลิบานมาอย่างยาวนานก็ตาม
การเยือนซาอุดีอาระเบียของทรัมป์
การที่ทรัมป์เลือกเอาซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่เขาจะไปเยือนเป็นประเทศแรกนั้น เขาต้องการพบปะกับผู้นำมุสลิมทั่วโลกเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการต่อสู้กับกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงโดยลืมไปว่าสหรัฐเองก็ได้ใช้ความรุนแรงและเข้าไปแทรกแซงประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
จากซาอุดีอาระเบียเขาไปเยือนอิสราเอลซึ่งเป็นศัตรูสำคัญของโลกอาหรับทั้งมวลและเป็นผืนแผ่นดินของสามศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวอย่างอิสลาม คริสเตียนและจูดาห์
จากนั้นจึงไปเยือนสำนักวาติกันก่อนจะพบกับกลุ่มประเทศร่ำรวย 7 ประเทศ (Group of Seven) และการประชุมสุดยอดของ NATO ทั้งในกรุงบรัสเซลส์และชิชิลี
ในการพูดที่ Rose Garden ของทำเนียบขาว ทรัมป์กล่าวว่า การเดินทางของเขาเป็นการรวมตัวที่เป็นประวัติศาสตร์ในซาอุดีอาระเบียกับผู้นำมุสลิมทั่วโลก
เขาบอกว่าจากที่นั่น (ซาอุดีอาระเบีย) เราจะเริ่มประกอบสร้างพื้นฐานใหม่ของความร่วมมือและการสนับสนุนพันธมิตรมุสลิมของเราเพื่อเผชิญกับความสุดโต่งและความรุนแรงและเข้าไปใกล้ชิดกับคนหนุ่มสาวมุสลิมที่มีความยุติธรรมมากกว่าและมีอนาคตที่เป็นความหวังในประเทศของพวกเขา
ทรัมป์พูดราวกับว่าเขาไม่เคยวิพากษ์โลกมุสลิมและศาสนาอิสลามที่ผู้นำเหล่านี้ให้ความเคารพนับถืออย่างหนักหน่วงมาก่อน
ในการเยือนประเทศมุสลิมเขาหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำพูดอย่างเช่นอิสลามสุดโต่งที่เขาใช้ในการหาเสียงหรือคำว่าผู้ก่อการร้ายอิสลามซึ่งเขารู้ดีว่าเป็นความไม่ถูกต้อง เขาบอกว่า
“ภารกิจของเรามิได้อยู่ที่การมาบอกคนอื่นว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร แต่เพื่อสร้างการเป็นมิตรร่วมและทำงานร่วมกันเพื่อแบ่งปันจุดมุ่งหมายของการต่อสู้กับการก่อการร้ายและนำเอาความปลอดภัย โอกาสและเสถียรภาพมาสู่ดินแดนตะวันออกกลาง อันเป็นดินแดนที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม”
โดยลืมไปว่าความรุนแรงและสงครามที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องนั้นส่วนหนึ่งมาจากการแทรกแซงของสหรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนฝ่ายกบฏซีเรีย จนหนึ่งในฝ่ายกบฏหันมาก่อตั้งกองกำลังไอเอสที่กลายมาเป็นศัตรูกับตนเองในที่สุด
และทำให้โลกเต็มไปด้วยความรุนแรงมาจนถึงปัจจุบัน อันเนื่องมาจากการตอบโต้ระหว่างกองกำลังไอเอสกับสหรัฐและพันธมิตรของสหรัฐอย่างที่เกิดขึ้นหลายครั้งในสหรัฐและในประเทศยุโรป
จนนำไปสู่ความตายของผู้คนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมต่อความขัดแย้งของสองฝ่ายจำนวนมาก
การเดินทางโดยใช้การทูตมีมาหลังจากการรณรงค์หาเสียงที่ใช้ความเป็นขวาจัดเป็นที่ตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นประธานาธิบดีในปี 2016 ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่มีกับ NATO และคู่ค้าของสหรัฐในประเทศต่างๆ รวมทั้งการนำเอาส่วนหนึ่งในการหาเสียงมาประกาศใช้ในเรื่องการแบนการเดินทางของประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่หลายประเทศ
ในฐานะผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์ส่งเสริมคำว่า “อเมริกาต้องมาก่อน” และใช้นโยบายต่างประเทศที่เรียกร้องให้ทำลายกองกำลังไอเอส
“อเมริกามาก่อนนั้นสอดคล้องอย่างเต็มที่กับการเป็นผู้นำของอเมริกาในโลก” เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายบริหารของทรัมป์ กล่าวกับนักข่าวหลังการพูดของทรัมป์ “สิ่งที่มีในการเดินทางครั้งนี้จะเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับที่เป็นกระแส ผมคิดถึงอเมริกาที่มิได้เข้าไปพัวพันอยู่กับโลกและปัญหาใหญ่อื่นๆ”
ที่ผ่านมาทรัมป์ได้เป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้นำต่างประเทศที่ทำเนียบขาวและที่คลับส่วนตัว Mar-a-Lago ในฟลอริดา เขาเพิ่งจะเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก
ในการเดินทางออกนอกสหรัฐครั้งนี้เขามุ่งหวังจะผลักดันให้เกิดสันติภาพ และหาทางให้เกิดสิ่งที่ในฝ่ายบริหารของเขาเรียกมันว่าเอกภาพของภูมิภาคเพื่อเผชิญหน้ากับอิหร่าน ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญของซาอุดีอาระเบียมายาวนาน
การกระทำของทรัมป์สะท้อนให้เห็นโวหารการบริหารที่เปลี่ยนไปของเขาหลังจากเขาถูกวิพากษ์ในเรื่องสิทธิมนุษยชนและความสัมพันธ์ทวิภาคีกับบางประเทศมาแล้ว