ฟ้า พูลวรลักษณ์ | ฝ่ายที่รักประชาธิปไตย ต้องไม่ทำร้ายตัวเอง-ทำลายโอกาส

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๘๓.๔)

 

ความรู้สมัยใหม่ช่างกว้างใหญ่ และซับซ้อนเกินกว่ากำลังสติปัญญาของฉันจะไปดักหน้า หรือคิดต่างได้ ได้แต่ติดตามข้อมูล และทำความเข้าใจ ว่าสิ่งนี้คืออะไร และกำลังจะไปไหน

สมองของฉันมีอายุ ๖๘ ปี และทำได้เท่านี้ คือการตั้งรับ ไม่อาจรุกอีกแล้ว

ความเบิกบาน ความสนุกสนาน ก็ทำไม่ได้แล้ว ดังนั้น ดนตรีหรือเต้นรำ ก็หมดไป เด็กๆ และหนุ่ม-สาว ตามทันความรู้สมัยใหม่ไหมนะ หากตามไม่ทัน อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีความเบิกบาน ความสนุกสนาน

อย่างน้อยพวกเขายังไปเต้นรำและร้องเพลง

เมื่อคืนนี้ฉันดูหนังเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับสี่ปีในชีวิตเด็กนักเรียนของโรงเรียน New York Academy of Performing Arts ที่ฉันประทับใจเพราะวิชานี้ตรงข้ามกับตัวฉัน

วิชาที่เรียนคือดนตรี เต้นรำ การแสดง ฯลฯ เด็กๆ แต่ละคนก็เหมือนเด็กทุกยุคทุกสมัย เต็มไปด้วยพลัง ไฟ ความทะเยอทะยาน แต่ละคนมีดี และสู้เต็มที่ ฉันชอบดูหนังที่แสดงพลังแบบนี้ ชอบดูเด็กๆ แข่งขันกัน แม้ว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขา ฉันจะไม่สนใจเลยก็ตาม เพราะมันคือการได้รับความยอมรับ การมีชื่อเสียง ซึ่งตรงข้ามกับตัวฉันอีกเช่นกัน

ฉันเป็นคนปิด แต่การจะโดดเด่นใน Performing Arts คือคุณต้องเป็นคนเปิด พร้อมจะแสดงต่อหน้าคนเยอะๆ พร้อมจะแบ่งปันอารมณ์ แชร์ความรู้สึก หากฉันเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ฉันคงเป็นนักเรียนที่โง่เขลายิ่งนัก สูงสุดที่ทำได้คือแค่เรียนจนจบ

แต่ฉันก็ดูหนังเรื่องนี้ด้วยความเห็นใจ เข้าใจ และเอาใจช่วยเด็กๆ

ชีวิตนี้แปลกประหลาด ในบั้นปลายชีวิตของฉัน มาเอาใจช่วยคนที่แตกต่างจากตัวฉัน

ฝ่ายที่รักประชาธิปไตย ทำร้ายตัวเอง ทำลายโอกาส และพ่ายแพ้ ถอยกรูด ไม่รู้จะโทษใคร จะโทษฝ่ายตรงข้าม ก็ยังไม่เชิงทีเดียว เพราะต้องโทษตัวเองก่อน ต้องยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองก่อน จึงจะมีทางเดินหน้าได้

ฝ่ายที่รักประชาธิปไตย ยกตัวอย่างเช่น

๑ คุณยิ่งลักษณ์และพรรคพวก

๒ คุณธนาธรและพรรคพวก

๓ คณะราษฎรของเด็กๆ

คุณยิ่งลักษณ์ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่หนีศาล จริงอยู่ ในการกระทำดังกล่าว เป็นการป้องกันตัวเอง แต่มันทำลายพลังของฝ่ายที่สนับสนุนคุณอยู่

คุณยิ่งลักษณ์พอหนี ก็ทำลายพลังของพรรคเพื่อไทย นปช. เพื่อนฝูงและคนที่รัก เกือบจะสิ้นเชิง กำลังส่วนที่เหลืออยู่ ก็คือการต่อสู้แบบตัวใครตัวมัน มันเหมือนสงครามที่แม่ทัพหนีทัพ เหล่าทหารที่เหลืออยู่ ต้องต่อสู้กันเองตามแต่กำลัง น่าสงสารยิ่งนัก

หากเธอไม่หนี เธออาจลำบาก จนถึงอาจเสียชีวิต แต่ทว่าเมื่อก้าวเข้ามาการเมืองระดับนี้ คนเราต้องมีน้ำใจห้าวหาญ กล้าได้กล้าเสีย เหมือนก้าวเข้าสู่สมรภูมิรบแล้ว จะกลัวตายได้อย่างไร แม้ชีวิตต้องสู้จนตัวตาย แต่พลังของพรรคพวกของเธอจะเพิ่มทวี เป็นสองเท่าสามเท่า มันเป็นคนละเรื่องเลย

หากวันนั้น คุณยิ่งลักษณ์ไม่หนี แม้ตัวจะอยู่ในคุก แต่พรรคเพื่อไทย นปช. จะแข็งแกร่งกว่านี้หลายเท่า

คุณทักษิณหนีก็ยังพอว่า คุณยิ่งลักษณ์หนีอีก คราวนี้หมดเลย ความชอบธรรมและพลัง ถูกทำลายไปหมด หากมองจากความเป็นส่วนตัว ก็เป็นสิทธิของคุณ หากคุณจะสู้แบบคุณหนู ที่พอถึงคราวลำบาก ก็จะถอย

แต่หากมองกว้างออก นี้คือการทิ้งเพื่อนฝูง ทิ้งคนที่สนับสนุนคุณ ให้พวกเขาสู้กันเองตามยถากรรม

น่าสงสารมวลชนมหึมา ที่ต่อสู้มาโดยตลอด กลับต้องถูกทิ้งเหมือนรองเท้าเก่าๆ

พรรคเพื่อไทยไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

นปช.เหลือแต่ซาก ที่จริงอุดมการณ์ของพวกเขาเรียกได้ว่า เต็มเปี่ยม เสียดายแม่ทัพของพวกเขาสู้เพียงครึ่งเดียว

นี้เป็นบาปยิ่งนัก และเป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง

คุณเอาตัวรอดได้จริง แต่คุณทำลายอุดมการณ์ของตัวเอง และจะกู่เรียกกลับมา ยากยิ่งนัก

น่าเสียดายฝ่ายรักประชาธิปไตย ที่มีผู้นำที่รักตัวเองมากกว่าอุดมการณ์

คุณธนาธรกับพวก ได้ประสบความสำเร็จ ที่การเลือกตั้งปี ๒๕๖๒ ได้จำนวนที่นั่ง ๘๑ ที่ ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะ สามารถทำอะไรได้เยอะทีเดียว หากรู้จักใช้

แต่สิ่งที่บั่นทอนพวกเขา คือความแน่วแน่ในอุดมการณ์มากเกินไป จนกลายเป็นความโฉ่งฉ่าง ความไม่ยืดหยุ่น ความประมาท ความไม่ใช่นักปฏิบัติ

คือสิ่งที่ควรทำไม่ทำ สิ่งที่ไม่ควรทำก็จะทำ ละเอียดในสิ่งไม่ควรละเอียด แต่กลับเลินเล่อในสิ่งที่อันตราย

เหล่านี้เองที่บั่นทอน ทำลายโอกาสตัวเอง เห็นได้ชัดในสถานการณ์โควิด ที่ทุกย่างก้าวของพวกเขาผิดหมด พวกเขาเดินแบบไม่สนใจมวลชน

ด้วยความแน่วแน่ในอุดมการณ์ พวกเขาถือว่าไม่ได้ทำผิด ยังมีคนกลุ่มหนึ่งสนับสนุน แต่ทว่าหากคิดให้ดี จะเห็นว่ามันเล็กลงไปตามกาลเวลา ถูกแซะ ถูกบั่นทอน ยิ่งเสียคะแนนเสียงจากประชาชน ซึ่งนั่นต่างหากคือกำลังสูงสุด และมีค่าที่สุด

พวกเขาขาดการเชื่อมต่อกับประชาชนทั่วไป

ยิ่งห่างประชาชนออกไปเรื่อย ทีละวัน เสียไปทีละคะแนน สองคะแนน แทนที่จะเป็นตรงกันข้าม ยิ่งนับวัน ยิ่งทำตัวเป็นผู้อยู่ในหอคอยงาช้าง

คณะราษฎรของเด็กๆ ก็เฉกเช่นกัน ทำความผิดแบบเดียวกัน พวกเขาไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับสถาบัน ควรพอเพียง แค่ในการแก้รัฐธรรมนูญและการโจมตีตัวนายกฯ ประยุทธ์ แค่นั้นก็เป็นศึกหนักพอแล้ว แต่พวกเขาก็ต้องการ completeness แห่งหลักการ นั่นคือการปฏิรูปสถาบัน จุดนี้กลายเป็นจุดอ่อน และต่อมาก็จะกลายเป็นจุดจบและจุดตาย

ไม่มีใครไปยุยงหรือบงการพวกเขาหรอก มันเกิดขึ้นเอง ด้วยพลังและวัยของพวกเขา

ไม่มีใครสามารถจะไปห้ามปรามพวกเขาได้ด้วย

ดังนั้นเอง ผลที่ออกมาจึงเป็นเช่นนี้ และนั่นคือความอ่อนล้าของผู้รักประชาธิปไตย การถูกตีโต้ ตามล่า การถูกใส่ความ กลั่นแกล้ง ก็โทษใครไม่ได้ ในเมื่อคุณเข้ามาสู่สนามรบ และรบแบบไม่สนใจกลศึกใดๆ ไม่สนใจยุทธวิธีใดๆ เอาความถูกต้องที่ตัวเองคิด ก็ไม่ต่างจากความโอหัง ความเย่อหยิ่ง การคิดว่าตัวเองเก่ง

ในที่สุด ความคิดจะมาหยุดลงตรงที่ว่าตัวเองถูก และฝ่ายตรงข้ามผิด มันเรียบง่ายแค่นั้นเอง ความละเอียดอ่อนใด ความซับซ้อนใด หายไปหมด

แต่ชีวิตจริงไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น

คณะราษฎรของเด็กๆ ที่สูญเสียไปคือแรงสนับสนุนของเด็กๆ ทั่วประเทศ สมัยแรก นักเรียน-นักศึกษาสามารถร่วมประท้วงได้ทั่วประเทศ เป็นปรากฏการณ์ที่งดงาม น่าตื่นตะลึง แต่พอมีการปฏิรูปสถาบันเข้ามา คนเหล่านั้นไม่อาจเข้าร่วมได้ กำลังก็ถดถอยลงอย่างมากมาย นี้คือการสูญเสียโอกาส มันเป็นก้าวที่ยาวเกินไป จนเด็กๆ ที่เหลือตามไม่ทัน

เริ่มได้ดีแล้ว แต่ต่อเนื่องไม่ได้ ยิ่งสู้ยิ่งโดดเดี่ยว เพราะยึดมั่นในอุดมการณ์เกินไป จนไม่มองความเป็นจริงของประเทศและสังคม

เด็กๆ ใน New York Academy of Performing Arts เรียนจบแล้ว ทุกคนรับปริญญา ชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันไป บางคนเต้นรำได้เก่งมาก จบแล้วได้รับเลือกเป็นนักเต้นของวงบัลเล่ต์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่เธอทำได้ด้วยการเสียสละชีวิตส่วนตัว ด้วยการทอดทิ้งแฟนที่คบกันมาในวัยเรียน บางคนที่เต้นได้เก่งไม่แพ้กัน แต่ไปได้ไม่ไกลเท่า เพราะเธอเต้นด้วยความรัก ความสนุกสนานในการเต้น และการไม่ทอดทิ้งความรักในวัยเรียน

ฉันเห็นนักเรียนบางคนเรียนไม่จบ เพราะเลือกจะมีอาชีพก่อน จนเวลาเรียนไม่พอ แต่เธอก็ต่อสู้กับชีวิตอีกแบบ บางคนเรียนจบ แต่ไม่มีพรสวรรค์เพียงพอจะต่อสู้กับคนอื่นได้ แต่เขาก็ได้ไปเป็นครูเต้นรำที่ดีคนหนึ่ง

จบเรื่องราวของเด็กๆ หนึ่งรุ่น ปีหน้าจะมีเด็กอีกรุ่นหนึ่ง กาลเวลาโหดเหี้ยม พริบตาเดียวสิบปีก็ผ่านไป เด็กๆ จะไม่เด็กเท่าเดิมอีกแล้ว และอีกสิบปีก็จะผ่านตาม พวกเขาไม่ใช่เด็ก

ทุกชีวิตทำดีที่สุดในวัยของตน และนี้คือชัยชนะของสัจธรรม