ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 กุมภาพันธ์ 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
เปิดใจ
อดีตนักการทูตเกาหลีเหนือแปรพักตร์
จากข้อมูลของกระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ระบุว่า ชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์ หลบหนีเข้ามาซบอกเกาหลีใต้ในช่วงปีที่ผ่านมามีจำนวนลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากเกาหลีเหนือดำเนินมาตรการสุดเข้มงวดด้วยการปิดแนวชายแดนห้ามคนเข้า-ออกเพื่อสกัดการเข้ามาระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศตัวเอง
โดยในปี 2020 ที่ผ่านมามีคนเกาหลีเหนือแปรพักตร์หนีเข้ามาอยู่เกาหลีใต้จำนวน 229 คน ลดลงจากในปี 2019 ที่มีผู้แปรพักตร์เข้ามาในเกาหลีใต้จำนวน 1,047 คน
ขณะที่ตัวเลขคร่าวๆ ของคนเกาหลีเหนือซึ่งหนีความอดอยากยากจนและอำนาจกดขี่ของเผด็จการคอมมิวนิสต์เข้ามาอาศัยอยู่ในเกาหลีใต้มีรวมแล้วประมาณ 30,000 คน
จากรายงานของสำนักข่าวเอเอฟพีระบุด้วยว่าผู้แปรพักตร์ส่วนใหญ่เล็ดลอดหนีเข้ามาทางชายแดนจีน ก่อนจะเข้าไปขอลี้ภัยอยู่ในเกาหลีใต้
รยู ฮยอน อู อดีตนักการทูตที่มีตำแหน่งทางการสุดท้ายคือ รักษาการเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำประเทศคูเวต เป็นหนึ่งในรายล่าสุดเท่าที่โลกรับรู้ได้ในขณะนี้ว่าเป็นผู้แปรพักตร์ออกจากเกาหลีเหนือ และยังเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงเสียอีกด้วย ที่หันหลังให้กับรัฐบาลเปียงยางซึ่งแทบจะไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก
รายงานของแมอิล บิสซิเนสเดลี่ สื่อท้องถิ่นของเกาหลีใต้บอกว่า จริงๆ แล้วรยู ฮยอน อู เดินทางหลบเข้ามาในประเทศเกาหลีใต้ตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2019 เพื่อขอลี้ภัย แต่เรื่องราวการแปรพักตร์และการเดินทางหลบหนีจนเหยียบแผ่นดินเกาหลีใต้ได้ของเขาถูกเก็บเป็นความลับ จนมาเปิดเผยเป็นข่าวเมื่อไม่กี่วันมานี้
รยู ฮยอน อู เป็นอดีตนักการทูตที่อยู่ในตระกูลชนชั้นนำผู้มีอภิสิทธิ์ชนของเกาหลีเหนือ โดยมีพ่อตาเป็นถึงอดีตหัวหน้าสำนักงาน 39 หน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนลับของตระกูลคิม
การได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรักษาการเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำประเทศคูเวตอย่างไม่คาดฝันในปี 2017 ได้เปิดโอกาสให้เขาเห็นลู่ทางที่จะพาครอบครัวโบยบินสู่โลกแห่งเสรีภาพ
กระทั่งเขาได้มานั่งเปิดใจกับสื่อตะวันตกอย่างซีเอ็นเอ็นถึงการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตของตนเองและทัศนะที่มีต่อดินแดนมาตุภูมิที่เขาตัดสินใจทิ้งไว้เบื้องหลังพร้อมกับคนในครอบครัวที่เหลือ
รยู ฮยอน อู บอกเล่าถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ของเขาที่ต้องการจะทำให้ลูกสาวของตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลหลักใหญ่ที่ทำให้เขาตัดสินใจแปรพักตร์
โดยเขาและภรรยาได้วางแผนการหลบหนีราว 1 เดือนขณะพำนักอยู่ในคูเวต ภายใต้ห้วงความคิดว่า หากเขาถูกจับได้ ทุกอย่างคือจบ! คนของทางการจะต้องส่งตัวพวกเขาทั้งหมดกลับเปียงยางและรับการชำระโทษหนัก
เพราะการแปรพักตร์ถือเป็นการสร้างความอัปยศให้กับผู้ปกครองคิม
แผนการของรยู ฮยอน อู ที่บอกกับลูกสาวในวันหนึ่งขณะเขาและภรรยาทำทีขับรถส่งลูกสาวไปโรงเรียน ก่อนเขาจะพาครอบครัวหลบเข้าไปในสถานทูตเกาหลีใต้ประจำคูเวตเพื่อขอลี้ภัย
กระทั่งทั้งหมดเดินทางมาถึงเกาหลีใต้ได้โดยปลอดภัยไม่นานหลังจากนั้นและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนถึงขณะนี้
บางช่วงบางตอนในการให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น รยู ฮยอน อู พูดถึงคิม จอง อึน ผู้ปกครองเกาหลีเหนือในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ ที่ประชาคมโลกต่างมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสันติสุขโลกว่า เขาเชื่อว่าคิม จอง อึน ไม่มีวันจะยอมทิ้งคลังแสงนิวเคลียร์ อย่างที่โลกพยายามกดดันให้ทำอย่างแน่นอน
เพราะอาวุธนิวเคลียร์เป็นไพ่ใบสำคัญที่คิม จอง อึน จะใช้เป็นข้อต่อรองในการเจรจาเพื่อให้นานาชาติยอมผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่กระทบปากท้องของคนในชาติ ดังที่เขาใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในการกลับสู่โต๊ะเจรจาในปี 2018 กับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น
“อำนาจนิวเคลียร์เกี่ยวพันโดยตรงกับความมั่นคงโดยตรงของผู้ปกครองเกาหลีเหนือ ซึ่งผู้นำคิมเชื่อว่าอาวุธนิวเคลียร์เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาอยู่รอด” รยู ฮยอน อู กล่าว
ต่อประเด็นที่เกาหลีเหนือถูกกล่าวหาว่าใช้สถานทูตของตนเองเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ทำเงินให้กับตระกูลคิม
รยู ฮยอน อู บอกว่า ขณะที่เขาได้รับการอบรมเป็นนักการทูต แต่ขณะเดียวกันก็ยังได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจทางการค้าในการหาเงินกลับเข้าประเทศไปด้วยเมื่อไปประจำการอยู่ในประเทศต่างๆ เช่น คูเวต ที่เป็นหนึ่งแหล่งช่องทางทำเงินกลับประเทศที่สำคัญ โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเงินที่ถูกส่งกลับไปให้รัฐบาลเกาหลีเหนือ ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในภารกิจสำคัญของผู้ปกครองคิม นั่นรวมถึงโครงการนิวเคลียร์
ถึงวันนี้ รยู ฮยอน อู เชื่อว่าเขาทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วเพื่อลูกสาว
แต่หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 16 เดือนก่อน
สิ่งเดียวที่เขารู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจแปรพักตร์ก็คือ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวที่เหลืออยู่ของเขาในเปียงยาง ทั้งแม่ในวัย 83 ปี และพี่น้องของเขาอีก 3 คน รวมถึงพ่อ-แม่ที่แก่เฒ่าของภรรยาของเขาเองด้วย!