วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู : ความในใจหนีหวง ต่อหลินซูห์ (82)

เสถียร จันทิมาธร

ความในใจหนีหวง ต่อหลินซูห์ (82)

จําเป็นต้องถ่ายทอด “เนื้อความ” ของ “ไห่เยี่ยน” ตามสำนวนแปล ลีหลินลี่อย่างละเอียด เพราะแต่ละถ้อยแต่ละคำฉายสะท้อนความผูกพันอย่างลึกซึ้งของคน 2 คน

อาจเป็นระหว่างหนีหวงจวิ้นจู่กับหลินซูห์ ขุนพลน้อยผู้นั้น

ในที่สุดน้ำตาของหญิงสาวก็ล้นทะลักออกมาไหลรินผ่านร่องแก้ม หยดหยาดไม่ขาดสาย ให้ความรู้สึกลวงตาชนิดหนึ่งแก่ผู้คน ประหนึ่งหยาดน้ำตาเหล่านี้พอสัมผัสกับความเหน็บหนาว

พลันแข็งตัวกลายเป็นเม็ดมุกสุกสกาว

เหมยฉางซูเพ่งพิศนางด้วยแววตาอบอุ่น ไม่อาจรุกคืบ ไม่อาจปลอบโยน ความยะเยือกปานน้ำแข็งทิ่มผ่านผิวเนื้อบอบบางที่เปลือยเปล่า ความเหน็บหนาวที่เสียดลึกถึงกระดูก

เหมือนกำลังตระเตรียมรุกรานถึงขั้วหัวใจ บีบให้มันหยุดเต้น

อากัปกิริยาที่เหมยฉางซูกระชับเสื้อคลุมแน่นมิอาจรอดพ้นจากสายตาอาทรของหนีหวงไปได้ จึงตามมาด้วยคำถาม “ท่านกลัวความหนาวมากหรือ”

“ใช่ ข้ากลัวความหนาวมาก”

แม้ว่าจะมาจากปากของเหมยฉางซู แต่ในความนึกคำนึงของหนีหวงกลับนึกเปรียบเทียบไปอีกคนหนึ่งซึ่งเด่นชัดอยู่ในห้วงแห่งความนึกคำนึง

“เขาคนนั้นไม่เคยกลัวความหนาว ทุกคนถึงกับเรียกเขาว่ามนุษย์ลูกไฟ”

สีหน้าหนีหวงซีดขาว หยาดน้ำปริ่มคลอ “ที่แท้เป็นเรื่องทารุณโหดร้ายเช่นไรจึงสามารถลบล้างร่องรอยทั้งหมดบนร่างของคนผู้หนึ่งได้ จึงสามารถทำให้มนุษย์ลูกไฟเป็นคนที่กลัวความเหน็บหนาวปานนี้”

“หนีหวง” สีหน้าเหมยฉางซูคงไว้ซึ่งความสงบนิ่ง น้ำเสียงยังคงทุ้มต่ำ

“แค่สิ่งที่เห็นก็เพียงพอแล้ว อย่าได้คิดเลยไกลไปกว่านั้น ความเจ็บปวดมากมายล้วนเกิดขึ้นเพราะไม่อาจควบคุมมโนภาพที่ผุดขึ้นกลางใจตัวเอง ท่านไม่มีความจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับมัน

ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องแบกรับมัน หลินซูห์ได้ตายไปแล้ว ขอแค่ท่านเชื่อในสิ่งนี้ก็พอ”

“แต่ความรู้สึกของสตรีมักไม่มีเหตุผลเสมอ ต่อให้ไม่มีรอยแผลใดๆ ให้เห็น ข้าก็สามารถรู้ว่า อาจบางทียิ่งไม่มีอะไรให้เห็นยิ่งทำให้ข้ารู้” หนีหวงเพ่งพินิจใบหน้าเขา น้ำตาไหลทะลักหยดแล้วหยดเล่า

“พี่หลินซูห์ ข้าขอโทษ ข้าจะไม่ไปจากท่านอีก ข้าไม่อาจห่างจากท่านอีกตลอดกาล”

“เด็กโง่” เหมยฉางซูเพียงรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวเป็นระลอก ยื่นมือโอบนางแนบอก “ข้ารู้ว่าท่านคิดถึงพี่หลินซูห์ แต่นั่นไม่เหมือนกัน วันเวลาที่คลาดแคล้วและหัวใจที่เคยหวั่นไหว

ล้วนเป็นเช่นสายน้ำที่ไม่อาจย้อนหวนตลอดกาล

ข้าเหน็ดเหนื่อยมาถึง 12 ปีแล้ว ไม่อยากเห็นคนสำคัญข้างกายต้องเจ็บปวดเพราะการดำรงอยู่ของข้าอีก เช่นนี้ข้ากลับสามารถเบาสบายขึ้น ท่านว่าใช่ ไม่ใช่”

หนีหวงกอดกระชับเอวเขาแน่นขึ้น น้ำตารดชุ่มเหนือสาบเสื้อของเขา

กว่า 10 ปีที่ผ่านมา นางคือที่พึ่งพิงของผู้อื่น คือเสาหลักของผู้อื่น ยามเผชิญหน้ากับน้องชายผู้เยาว์วัยหรือแม่ทัพใต้บัญชาผู้รู้ใจ หรือทหารหาญประจำแดนใต้ช่วงเอวคอดบางมิอาจค้อมลงแม้แต่น้อย

แม้แต่เนี่ยตั๋วก็ไม่อาจทำให้นางผ่อนคลายได้อย่างหมดจด

แต่หนึ่งเดียวคนนี้ แผ่นอกอุ่นกว้างนี้สามารถทำให้นางกลับสู่ห้วงเวลาแห่งความละมุนละไม สามารถทำให้ปล่อยโฮร่ำไห้ได้อย่างไร้ข้อจำกัด สามารถทำให้กระเง้ากระงอดได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด

ไม่มีความเร้าใจที่ปะทุร้อนแรง ไม่มีความพร่ำเพ้อละเมอหาทุกเช้าค่ำ

สิ่งที่มีเป็นเพียงความไว้วางใจที่อุ่นกรุ่นประดุจแสงอาทิตย์ในวันอันหนาวเหน็บ ราวกับเมื่อปิดตาลงก็สามารถเปลี่ยนเป็นเด็กหญิงตัวน้อยไร้เดียงสา

ร่ำร้องให้เขาแบกขึ้นหลังวิ่งตะบึงไปทุกที่

สลัดทิ้งซึ่งฐานะของกันและกัน สลัดทิ้งซึ่งสัญญาหมั้นหมายโดยผู้ใหญ่ 2 ฝ่าย พี่หลินซูห์ยังคงเป็นพี่หลินซูห์ ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ปี ไม่ว่าสรรพสิ่งผันแปรไปเช่นใด

ต่อให้มีวันใดวันหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างเสาะพบคนที่ตัวเองอยากร่วมเรียงเคียงหมอน

ต่อให้วันหน้าบุตร-ธิดาเติบใหญ่ ต่อให้แก่เฒ่าผมขาวโพลน พี่หลินซูห์คนนี้ก็ยังคงเป็นพี่หลินซูห์ของนาง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างเด็ดขาด

นี่คือความรู้สึกอันจริงแท้จากหัวใจของหนีหวงต่อพี่หลินซูห์ของเธอ