ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ : การค้าอยุธยากับจีน ในยุคปลายกรุงศรีอยุธยา

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

การค้าอยุธยากับจีน
ในยุคปลายกรุงศรีอยุธยา

โดยปกติแล้ว ในช่วงร่วมสมัยกับอยุธยานั้น จีนมีนโยบายปิดประตูการค้า ยกเว้นแต่ประเทศที่นำเอาของกำนัลไปถวายพระจักรพรรดิจีน ในฐานะของโอรสสวรรค์เท่านั้น ที่จีนจะยอมรับเป็นครั้งคราว

แต่กรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ในยุคเริ่มแรกสถาปนาเป็นราชธานี ก็สามารถมีการติดต่อสัมพันธ์กับจีนผ่านระบบการ “จิ้มก้อง” (“จิ้ม” ภาษาจีนแปลว่า “ให้” ส่วน “ก้อง” แปลว่า “ของกำนัล”) ซึ่งโดยมากอยุธยามักจะนำพระราชสาส์นคำหับ (คือป้ายสั่งเคลื่อนทัพของจีนสมัยโบราณ), พระราชสาส์นสุพรรณบัฏ และเครื่องบรรณาการไปถวายพระจักรพรรดิจีนที่กรุงปักกิ่ง ผ่านเมืองกวางเจา ในมณฑลกวางตุ้ง ทุกๆ 3 ปี โดยพระจักรพรรดิจีนก็จะมอบของกำนัลพระราชไมตรีเสมอ

ของกำนัลที่จักรพรรดิจีนส่งมอบตอบนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแพรไหมผ้าต่วน และของมีค่าอื่นๆ

โดยในการไปจิ้มก้องหรือถวายเครื่องบรรณาการแต่ละครั้ง เรือของรัฐต่างๆ สามารถนำสินค้าของตนเองไปขายทำกำไร แลกเปลี่ยนเป็นสินค้าจีนลำเลียงกลับประเทศ

สินค้าที่เรือบรรณาการเหล่านี้บรรทุกนั้นจะได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนอัตราค่าธรรมเนียม และภาษี โดยสินค้าจากจีนเหล่านี้ล้วนเป็นที่ต้องการในตลาดโลก

จึงทำให้รัฐที่เข้าไปจิ้มก้องจีน รวมถึงกรุงศรีอยุธยานั้นสามารถทำกำไรได้มากเลยทีเดียวนะครับ

อย่างไรก็ตาม การที่พวกแมนจูยกทัพเข้ายึดกรุงปักกิ่งเมื่อ พ.ศ.2187 ก็ได้นำไปสู่การผลัดราชวงศ์ในจีน จากยุคราชวงศ์หมิงของชาวฮั่น เปลี่ยนเป็นราชวงศ์ชิงของพวกแมนจู ประกอบกับกรุงศรีอยุธยาระยะนั้นก็อยู่ในช่วงผลัดเปลี่ยนจากราชวงศ์สุโขทัยมาเป็นราชวงศ์ปราสาททอง จึงทำให้ระบบการจิ้มก้องต้องชะงักงันไประยะหนึ่ง

ในส่วนของจีนเอง ช่วงระยะแรกนั้นราชวงศ์ชิงยังไม่มีอำนาจครอบคลุมลงมาถึงมณฑลทางใต้ ซึ่งเป็นทางออกสู่ทะเลของจีน รัฐบาลยังไม่สามารถควบคุมกองเรือสำเภาจำนวนกว่า 800 ลำ ที่ค้าขายกับญี่ปุ่น ดัตช์ และเมืองท่าต่างๆ ในทะเลจีนใต้ได้

จนกระทั่งราชวงศ์ชิงมีเสถียรภาพมั่นคงในระดับหนึ่ง พระเจ้าปราสาททองจึงได้ส่งเครื่องบรรณาการไปถวายปฐมจักรพรรดิซุ่นจื้อแห่งราชวงศ์ชิง เมื่อ พ.ศ.2195 นับเป็นการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับราชวงศ์ชิงเป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม อีกเพียง 4 ปีต่อมาเท่านั้น จักรพรรดิจีนก็ประกาศห้ามคนจีนเดินทางไปโพ้นทะเล เพื่อปราบปรามกองกำลังที่ไม่ยอมสยบต่อราชวงศ์ชิง

โดยมาตรการดังกล่าวถูกบังคับใช้อยู่นานถึง 28 ปี นับเป็นช่วงสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปราสาททองอยู่นานเกือบตลอดรัชกาลเลยทีเดียว

นโยบายห้ามชาวจีนเดินทางไปโพ้นทะเลดังกล่าว ทำให้เรือพ่อค้าเอกชนของจีนกลายเป็นพวกนอกกฎหมายที่จะถูกทางการจีนปราบปราม ในขณะที่กรุงศรีอยุธยากลับเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์จากกองเรือส่งเครื่องบรรณาการ และเรือที่ส่งไปค้าขายที่มาเก๊าและนางาซากิ ปีละ 2-3 ลำ สามารทำกำไรได้ดี เนื่องจากไม่มีคู่แข่งนั่นเอง

พ.ศ.2223 รัฐบาลแมนจูสามารถปราบปรามกลุ่มต่อต้านราชวงศ์ชิงได้สำเร็จ และยึดเมืองเอ้หมึง อันเป็นเมืองท่าใหญ่ในมณฑลฮกเกี้ยนได้ จึงทำให้ดินแดนทางตอนใต้ของจีนมีเสถียรภาพ จนรัฐบาลจีนได้ประกาศยกเลิกคำสั่งไม่ให้เอกชนเดินทางออกไปโพ้นทะเล

และเปิดเมืองท่าในมณฑลกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน และเจียงหนาน เมื่อ พ.ศ.2227 จนทำให้สำเภาจีน โดยเฉพาะสำเภาฮกเกี้ยนได้หลั่งไหลเข้าสู่อุษาคเนย์เป็นจำนวนมาก

ตามรายงานของบาทหลวงนิโคลาส์ แชร์แวส (Nicholas Gervaise) ชาวฝรั่งเศส ระบุไว้ว่า หลังจากที่รัฐบาลจีนปล่อยให้พ่อค้าเอกชนออกไปค้าขายนอกประเทศนั้น เมื่อ พ.ศ.2228 กรุงศรีอยุธยามีสำเภาจีนแวะมาทำการค้าขายถึง 15-20 ลำ

แตกต่างจากที่ในช่วงที่จีนปิดประเทศนั้น ซึ่งมีรายงานว่าจะมีเรือนอกกฎหมายของจีน แวะมาเฉลี่ยปีละ 7-8 ลำเท่านั้น

ช่วงเวลาดังกล่าวตรงกับปลายแผ่นดินพระนารายณ์ ซึ่งกำลังจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายจนกระทั่งเกิดการผลัดราชวงศ์ไปเป็น “ราชวงศ์บ้านพลูหลวง” อันเป็นราชวงศ์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาในที่สุด

หลังจากที่สมเด็จพระเพทราชาปราบดาภิเษกขึ้นมาแล้วนั้น กรุงศรีอยุธยาก็ขาดส่งเครื่องบรรณาการหรือจิ้มก้องกับจีนไปถึง 24 ปี โดยเป็นไปได้ว่ากรุงศรีอยุธยาอาจจะเปลี่ยนวิธีทำการค้ากับจีน เพราะมีพ่อค้าเอกชนชาวจีนออกมาค้าขายเป็นจำนวนมาก จนทำให้สินค้าพระคลังขายดี จนไม่ต้องแต่งเรือออกไปค้าขายต่างประเทศ

ช่วงนี้กรุงศรีอยุธยาสามารถสั่งซื้อสินค้าจีนได้สะดวก ทั้งยังเรียกเก็บภาษีได้เป็นกอบเป็นกำ โดยไม่จำเป็นต้องส่งเรือไปเมืองจีน ซึ่งมีความเสี่ยงในการเดินทางจากภัยธรรมชาติทางทะเล และมีความยุ่งยากในการบริหารจัดการเป็นอย่างมาก

แต่ต่อมาในสมัยของพระเจ้าเสือ กรุงศรีอยุธยาก็ได้รื้อฟื้นเอาธรรมเนียมการแต่งเรือบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีนขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ.2251 ซึ่งก็ได้ปฏิบัติสืบมาจนกระทั่งสิ้นยุคกรุงศรีอยุธยา

และสืบเนื่องมายังสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

นับตั้งแต่ช่วงต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวงเป็นต้นมา “ใบชา” กลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของจีน “ดีบุก” ซึ่งใช้สำหรับกรุถ้ำบรรจุใบชาก็เลยพลอยขายดีไปด้วย เพราะจีนต้องการดีบุกเป็นจำนวนมาก ยังใช้สำหรับทำกระดาษเงินกระดาษทองสำหรับบูชาบรรพชนและเทพเจ้าอีกด้วย

ในเอกสารดัตช์ระบุว่า โกษาจีน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจในสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ได้แต่งตั้งชาวจีนเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเจ้าภาษีคุมการผลิตดีบุกที่เขาแดง จนทำให้ส่งส่วยดีบุกเข้าท้องพระคลังเพิ่มขึ้นอีกสามเท่าตัว

ในขณะที่ห้าง VOC ซึ่งมีสิทธิ์ผูกขาดการซื้อดีบุกมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ไม่สามารถหาซื้อดีบุกได้ เพราะกรุงศรีอยุธยาริบไปขายให้กับจีนเอง โดยในเอกสารดัตช์ได้ชี้แจงเหตุผลที่ดีบุกขาดตลาดในครั้งนั้นเอาไว้ว่า

“เป็นผลมาจากการขยายอิทธิพลของจีนในสยาม”

พ.ศ.2260 จักรพรรดิคังซีมีพระราชโองการห้ามสำเภาจีนของมณฑลกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน และเจ้อเจียง เดินทางออกไปค้าขายต่างประเทศอีกครั้ง ส่งผลให้พวกสำเภาจีนที่เดินทางมาค้าที่สยามกลายเป็นพวกนอกกฎหมายอีกรอบ โดยจะถูกลงโทษเมื่อกลับไปขึ้นท่าที่จีน

แต่ครั้งนี้ทางการจีนไม่ได้ห้ามปรามเด็ดขาดอย่างเช่นที่เป็นในช่วงผลัดเปลี่ยนราชวงศ์นะครับ คือยังเดินทางค้าขายในประเทศได้ และผ่อนผันให้เดินทางไปญี่ปุ่น ริวกิว และเวียดนามได้ในปีถัดมาคือ พ.ศ.2261 ส่วนเรือต่างชาติยังคงเดินทางไปค้าขายที่จีนได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม พระราชโองการดังกล่าวของจักรพรรดิคังซีก็ทำให้การขนส่งสินค้าของสำเภาสยามกลับมาคึกคักอีกครั้ง และในช่วงนี้เรือของกษัตริย์อยุธยาก็ได้เดินทางไปส่งเครื่องราชบรรณาการต่อจักรพรรดิจีนถี่ขึ้น

ส่วนสินค้าของกรุงศรีอยุธยาที่จีนต้องการ นอกจากดีบุกแล้ว ก็เป็นจำพวกของป่า ได้แก่ ไม้แดง ไม้แก่น เขาสัตว์ หนังสัตว์ งาช้าง นรมาด (นอแรด) กำยาน ครั่ง เร่ว กระวาน เนื้อแห้ง ปลาแห้ง ข้าว และเกลือ

การปิดไม่ให้พ่อค้าจีนออกมาค้าขายนอกประเทศและเหตุการณ์ความไม่สงบในจีนตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ยังส่งผลสำคัญอีกอย่างต่อกรุงศรีอยุธยา เช่น ในช่วงผลัดราชวงศ์นั้น ก็ทำให้มีผู้ภักดีในราชวงศ์  หมิงเข้ามาพำนักในกรุงศรีอยุธยาด้วย

ที่สำคัญก็คือ ขุนนางเก่าของราชวงศ์หมิงที่ชื่อกังกัวไท้ ที่ได้ลี้ภัยมาอยู่ในอยุธยา และภายหลังก็ได้แต่งงานกับเจ้านายไทยที่เป็นเชื้อพระวงศ์อยุธยาด้วย เป็นต้น

สำหรับคำสั่งห้ามออกนอกประเทศใน พ.ศ.2260 ก็ทำให้มีชาวฮกเกี้ยนที่ประกอบอาชีพทางทะเลหลายคนได้ย้ายเข้ามาทำงานเดินเรือในราชสำนักสยาม เพราะฝ่ายอยุธยาจะปกป้องคนเหล่านี้ด้วยการมีพระราชสาส์นขอละเว้นโทษให้กับลูกเรือจีนที่ทำงานในเรือของพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยานั่นเอง

ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับกรุงศรีอยุธยายังคงดำเนินต่อไปในทำนองนี้ในรัชกาลต่อๆ มา ทั้งรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระเจ้าอุทุมพร หรือพระเจ้าเอกทัศน์ ตราบจนถึงยุคกรุงธนบุรีและต้นกรุงเทพฯ เพราะจีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยา เรื่อยมาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งในฐานะของผู้ซื้อและผู้ขายนั่นแหละครับ