ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มกราคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
‘เจ้าพ่อ’ กับ ‘ลูกน้อง’
การปกครองสมัยเริ่มแรก
หัวหน้าเผ่าพันธุ์พื้นเมืองในอุษาคเนย์ (ซึ่งมีไทยอยู่ด้วย) ภายหลังเลือกรับวัฒนธรรมอินเดียจึงได้รับยกย่องเป็น “ราชา” หรือ “กษัตริย์” ตามประเพณีพิธีกรรมในวัฒนธรรมอินเดีย
การปกครองของหัวหน้าเผ่าพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม มีลักษณะความสัมพันธ์แบบที่เรียกสมัยหลังๆ ว่า “เจ้าพ่อ” กับ “ลูกน้อง” หากมีการแข็งข้อต้องกำราบปราบปรามจนถึงขั้นกวาดล้างเทครัวไปเป็นข้าไพร่ ครั้งหลังรับวัฒนธรรมอินเดียได้รับยกย่องเป็น “ราชา” หรือ “กษัตริย์” ลักษณะความสัมพันธ์แบบ “เจ้าพ่อ” กับ “ลูกน้อง” ยังสืบเนื่องต่อมาอีกนาน มีตัวอย่างประวัติศาสตร์รัฐจารีตของอินโดนีเซีย ดังนี้
“กษัตริย์มีลักษณะแบบเจ้าพ่อที่ให้การอุปถัมภ์ลูกน้องนักเลงหรือบรรดาเจ้าเมืองตามหัวเมือง ที่ตราบใดยังคงค้อมหัวเก็บส่วยส่งหัวคิวให้ เจ้าพ่อที่ศูนย์กลางก็จะยังให้การอุปถัมภ์อยู่ต่อไป ในทางกลับกัน บรรดาเจ้าพ่อตามหัวเมืองก็จะยอมรับส่งส่วยให้ศูนย์อยู่ตราบใดที่เจ้าพ่อที่ศูนย์กลางยังให้การยอมรับ เกียรติยศ และคุ้มกะลาหัวจากการรังแกของเจ้าพ่อจากรัฐใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม หากเมื่อใดเกิดคิดแข็งข้อตั้งตนเป็นใหญ่ไม่ส่งส่วยอีกแล้ว หรือคิดจะไปยอมรับเจ้าพ่อที่อยู่ในศูนย์อำนาจอีกแห่งหนึ่ง เจ้าพ่อหรือรัฐส่วนกลางก็จะหาทางกำจัดกวาดล้างไป หรือถ้ากวาดล้างก็ไม่ได้ แย่งเอามาก็ไม่ได้ อีกฝ่ายก็แย่งไปอย่างเด็ดขาดไม่ได้ ก็จะเกิดลักษณะความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่งที่บรรดาเจ้าพ่อหรือนักเลงเล็กๆ ตามหัวเมืองต้องอยู่ในภาวะยอมสยบให้กับเจ้าพ่อที่ส่วนกลางมากกว่าหนึ่งศูนย์อำนาจขึ้นไป หรือเรียกกันว่าเมืองสองฝ่ายฟ้า หรือเมืองสามฝ่ายฟ้า”
[จากหนังสือ ประวัติศาสตร์อินโดนีเซียฯ โดย ทวีศักดิ์ เผือกสม สำนักพิมพ์เมืองโบราณ พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.2555 หน้า 19]
บ้านพี่เมืองน้อง
“เจ้าพ่อ” กับ “ลูกน้อง” เป็นต้นตอระบบความสัมพันธ์แบบบ้านพี่เมืองน้อง (หรือเครือญาติอุปถัมภ์) รัฐหนึ่งเมื่อชนะสงครามก็เทครัวกวาดต้อนผู้คนและเลือกสรรสิ่งของมีค่าอื่นๆ จากรัฐแพ้สงครามกลับไปรัฐของตน โดยเหลือไว้บ้างให้รัฐแพ้สงครามปกครองดูแลกันเองต่อไป แล้วอยู่ในอํานาจอุปถัมภ์ตามเงื่อนไขของรัฐชนะสงคราม นับเป็นบ้านพี่เมืองน้อง (โดยไม่ส่งคนไว้ใจเป็นเจ้านายปกครองดูแลเมืองขึ้นตามที่บอกไว้ในประวัติศาสตร์แบบอาณานิคม)
[คําว่า พี่น้อง หมายถึง เครือญาติ อย่างไม่เจาะจงจะให้คนหนึ่งเป็นพี่ อีกคนหนึ่งเป็นน้อง ดังนั้น บ้านพี่เมืองน้องจึงมีความหมายกว้างๆ ว่าบ้านเมืองเครือญาติอย่างไม่เจาะจงว่าบ้านเมืองไหนเป็นพี่หรือเป็นน้อง เว้นเสียแต่จะเป็นที่ยอมรับยกย่องนับถือกันเอง ดังมีภาษาปากในสมัยหลังเรียกผู้เป็นใหญ่ว่า “เจ้าพ่อ” หรือ “ลูกพี่” แล้วเรียกบริวารว่า “ลูกน้อง”]
แนวคิดประวัติศาสตร์อย่างนี้มาจากลักษณะสังคมที่มีผู้คนน้อย แต่พื้นที่มาก จึงต้องการผู้คนเพิ่มเติม โดยการทําสงครามเทครัวเชลยจากรัฐอื่น
รูปแบบรัฐของบ้านพี่เมืองน้องไม่มีกําหนดกฎเกณฑ์ตายตัว (ต่างจากประวัติศาสตร์เมืองขึ้นแบบอาณานิคม) ดังนี้
(1.) พลเมืองเป็นชนหลากหลายชาติพันธุ์ซึ่งเกิดจากการเทครัวกวาดต้อน และอื่นๆ (2.) ภาษามีหลากหลาย อักษรมีเฉพาะคนชั้นสูง (3.) ไม่มีเส้นกั้นอาณาเขต เพราะขอบเขตของรัฐไม่แน่นอน ไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับอาณาบารมีของผู้นําแต่ละคนและเป็นครั้งคราว
เปรียบเทียบแบบอาณานิคมเป็นประวัติศาสตร์เมืองขึ้น (อย่างเดียวกับประวัติศาสตร์ยุโรป) กล่าวคือ รัฐหนึ่งเมื่อชนะสงคราม ก็ต้องส่งคนที่ไว้ใจไปเป็นเจ้านายปกครองดินแดนและผู้คนอีกรัฐหนึ่งที่แพ้สงคราม แล้วต้องตกเป็นเมืองขึ้น มีผู้รู้อธิบายว่ามาจากลักษณะสังคมที่มีผู้คนมาก แต่พื้นที่น้อย จึงต้องการขยายพื้นที่โดยทําสงครามยึดดินแดนรัฐอื่นๆ โดยกําหนดลักษณะแต่ละรัฐอย่างกว้างๆ พอสังเขปไว้ดังนี้
(1.) พลเมือง มีชนเชื้อชาติเดียวกัน (2.) ภาษาและอักษร มีอย่างเดียวกัน (3.) เส้นกั้นอาณาเขต มีกําหนดขอบเขตตายตัว
เทครัวกวาดต้อน “ร้อยพ่อพันแม่”
อุษาคเนย์โบราณมีพื้นที่กว้างขวาง แต่มีคนไม่มาก พบการตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานเป็นชุมชนบ้านเมืองกระจัดกระจายห่างๆ จนถึงห่างไกลกันมาก จึงมีพื้นที่รกร้างว่างเปล่าจํานวนมาก
ด้วยเหตุนี้เอง ความขัดแย้งสมัยหลังๆ จนเป็นสงคราม ทําให้ฝ่ายชนะกวาดต้อนเทครัวฝ่ายแพ้เป็นแรงงาน เรียกเชลย, ข้า, ไพร่, ทาส
นอกจากฝ่ายชนะได้แรงงานมากขึ้นไปบุกเบิกหักร้างถางพงพื้นที่ว่างเปล่าเป็นชุมชนและไร่นาแล้ว ยังเกิดการประสมประสานของคนหลากหลายเผ่าพันธุ์ร้อยพ่อพันแม่ ดังนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนพูดได้มากกว่า 1 ภาษา หรือหลายภาษา ภาษาพูดจึงปนกันจนแยกชัดเจนไม่ได้ เช่น ภาษาพูดของไทย มีคําจากหลายตระกูลอยู่ปนกัน แล้วรวมเรียกภาษาไทย
ไม่มีเส้นกั้นอาณาเขต
อุษาคเนย์โบราณไม่มีใครให้ความสําคัญเรื่องดินแดน เพราะคนน้อย พื้นที่มาก จะเคลื่อนย้ายถ่ายเทไปตั้งหลักแหล่งตรงไหน? เมื่อไร? ก็ได้ จึงไม่มีชายแดน ไม่มีพรมแดนของใครของมัน ไม่มีเส้นกั้นอาณาเขตเหมือนปัจจุบัน
จะมีก็แต่ชุมชนรอบในหนาแน่น กับรอบนอกไม่หนาแน่นจนถึงเบาบางห่างๆ กัน ยิ่งออกไปไกลๆ ก็ยิ่งเบาบางจนหายไปเลย
เมื่อเติบโตเป็นบ้านเมืองและรัฐในสมัยหลังๆ แล้ว ก็ไม่มีชายแดน เพราะไม่มีเขตแดนแน่นอน ชายแดนเริ่มมีเมื่อเป็น “รัฐชาติ” (รับจากตะวันตก) ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง