การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ล้วนแต่แปดเปื้อนไว้

อนาคต…หลายคนให้นิยามว่า คือความไม่แน่นอน แล้วหลายคนก็บอกกับฉันว่า มันคือความฝันที่เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์ของการแสวงหา

ฉันพยายามหาความหมายของคำว่า “อนาคต” ให้มากกว่านั้น แต่มันก็ดูมืดมน…ว่างเปล่า…

ฉันพยายามหาคุณค่าให้กับชีวิต หาอนาคตให้กับตัวเอง ไม่ทราบว่าวันข้างหน้า ฉันจะเป็นอย่างไร

ความฝันที่บรรจงสร้างขึ้นวันแล้ววันเล่า ดูจะไม่มีพื้นฐานความเป็นจริงเลย

ฉันเริ่มต้นชีวิตจากวัยเพียง 12 ปี

ร่อนเร่ไปหลายทิศหลายทาง หันหลังจากบ้าน จากพ่อ-แม่ พี่-น้อง จากห้วยหนองคลองนา จากเขา เดินทางอย่างไม่มีจุดหมาย

เสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ได้พานพบหลายสิ่งหลายอย่าง เรียนรู้แง่มุมชีวิตจากคนรอบข้าง

ฉันคงเหมือน Tomboy แต่งตัวง่ายๆ กางเกงง่ายๆ เสื้อเชิ้ต รองเท้าสีฝุ่น…ย่ำไปบนทางสายแล้วสายเล่า รอยยิ้มเปื้อนใบหน้า…ก้าวย่างอย่างมั่นใจ

แต่ใครจะรู้ บางครั้งฉันท้อแท้ ฉันเจ็บปวด

ฉัน, 21 ธันวาคม

 

บันทึกที่ อ.เมือง เชียงใหม่

เมื่อครั้งยังเยาว์ ฉันจำได้

ครูเคยให้เขียนเรียงความเรื่อง โตขึ้นอยากเป็นอะไร

ฉันสนุกกับความฝัน วาดความหวังไว้งดงาม ฉันเขียนเอาไว้ว่า

ฉันอยากเป็นครู หรือไม่ก็หมอ มีบ้านสีขาวหลังเล็ก อยู่กับพ่อ แม่ พี่ น้อง

มีหมาน่ารักสักตัว ฝันว่า ฉันจะช่วยทำสวนครัวหลังบ้าน หลังเลิกงาน แล้วเราจะกินข้าวพร้อมกัน

จากวันนั้น ถึงวันนี้ ฉันเติบโต ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลง ความฝันที่เคยฝัน

ไม่มีอะไรจริงสักอย่างเดียว…

 

ฉันโตขึ้น รู้จักโลกมากขึ้น ฉันจำดิ้นรนหาเลี้ยงตัวและครอบครัว

รับผิดชอบชีวิตที่พ่อ-แม่แบกภาระมานานนักหนา…

โลกไม่ได้บานเบ่งด้วยมวลดอกไม้

คืนวันที่โลกส่องประกายสีทอง…เลือนราง

 

นึกถึงความฝันวันเยาว์…หลายครั้งที่ฉันนั่งปล่อยใจไปกับอดีต

พาความรู้สึกล่องลอยสู่จินตนาการ…คิดถึงเพื่อนที่เคยเรียน-เล่น

บัดนี้ทุกคนต่างมีทางไปของตัวเอง หลายคนยังคงเรียนหนังสือ

บางคนทำงานแล้ว

และอีกหลายคนแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว บางคนก็เลิกกันแล้ว…

แต่สำหรับฉัน ฉันยังอยู่ที่เดิม ที่ไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อวาน…

ฉัน, 5 เมษายน

 

บันทึกที่กรุงเทพฯ

คืนนี้ ฉันนอนอ่านบทกวีของ “หลี่ไป๋” เพียงคนเดียวในความเงียบงัน

“เดือนกระจ่าง

ทอแสงนวลอ่อน

ทาบพื้นห้อง

ใกล้กับแคร่นอนของฉัน

ถูกทาบทับ

ด้วยเกล็ดหิมะขาวละมุน

ความงามของจันทร์แจ่ม

ฉุดให้ฉันต้องช้อนตาขึ้นชม

วงกลมที่สุดสกาวนั้น”

บทกวีของหลี่ไป๋ ดึงใจฉันล่องลอยสู่ดินแดนไกลโพ้น

ฤดูหนาวเดือนพฤศจิกายน รวงข้าวสุกส่งกลิ่นหอมละมุน ยามถูกแสงจันทร์สีเงินอาบ ก็เปล่งปลั่งเป็นประกายสุดตา

ไกลแสนไกล จรดทิวเขาทึมเทาเหยียดตัวหลับใหล

ในคืนนั้น เต็มไปด้วยเสียงพลุที่ถูกจุดพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แตกกระจายหลากสีสวยงาม

เสียงเพลงสรวลเสเฮฮาแว่วตามหลังมาให้ได้ยิน ด้วยบนภูเขานั้นมีวัด และรอบวัดเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มาร่วมทำบุญ ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลนักขัตฤกษ์ อย่างสนุกสนานร่าเริง

แต่ในคืนนี้…ฉันคงมีเพียงแสงจันทร์จากบทกวีของหลี่ไป๋เท่านั้นเป็นเพื่อน เพราะข้างนอกนั้นคือไฟสว่างจ้าจากหลอดนีออนสว่างไสว

ไฟซึ่ง…บดบังแสงเลือนรางของดวงดาวจนหมดสิ้น

ในห้องเช่าคับแคบ เต็มไปด้วยกองหนังสือมหาศาล อันเป็นสมบัติมีค่าเพียงสิ่งเดียวที่ฉันมีอยู่ นอกเหนือจากสัมภาระส่วนตัวอีกเล็กน้อย

ฉันเคยวาดรูปดวงจันทร์กับภูเขา ปิดไว้บนผนัง แต่ในเวลานี้…สีสันเหล่านั้นก็ซีดจางลงตามกาลเวลา

มองออกจากหน้าต่างที่เปิดไว้ ฉันแลเห็นเพียงความว่างเปล่า ขณะที่บทกวีของหลี่ไป๋ ยังคงกระซิบกระซาบ รำพัน

ช่างเหมือนกับใจของฉันนัก

“นอนยลเดือนงามจนม่อยหลับ

แล้วในห้วงภวังค์แห่งนิทรานั้น

ฉันก็ฝันไปว่า

ตนเองกำลังชื่นสุข

อยู่ท่ามกลางความอบอุ่น

แห่งไมตรีจิต

ของพี่น้องญาติมิตร

ณ บ้านเกิด”

ฉันขอตั้งชื่อบันทึกตอนนี้ว่า “คืนเดือนกระจ่าง”

“หลี่ไป๋ – เป็นกวีเอกโบราณของจีน มีชีวิตอยู่ในช่วงที่ราชวงศ์ถังกำลังสืบอำนาจปกครอง เกิดเมื่อ พ.ศ.1144 เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ.1205”

เดือนกรกฎาคม, วันเกิดของชื่นใจ วันเกิดของแม่

วันที่พวกเราต่างอยู่ห่างกัน…แสนไกล

 

บันทึกที่ อ.แม่ริม

ฉันนอนไม่หลับเอาเสียเลย หลายคืนมานี้ จิตใจพะวงบอกไม่ถูก

ฉันเองก็ยังตัดสินใจไม่ถูก อยู่ที่นี่ ชีวิตอาจจะดีกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา งานไม่หนักมากนัก แต่ก็ขาดอิสระ

“อิสระ” คำคำนี้ช่างมีความหมายเหลือเกิน ดูเหมือนว่าชีวิตของเรา เฝ้าใฝ่ฝันแต่อิสระ

ถ้าเรามีเวลาว่างเพิ่มกันอีกสักคนละชั่วโมง เราคงจะมีความสุข ฉันอยากมีเวลาวาดรูป อ่านหนังสือ หรือไปไหนๆ ตามใจบ้าง

ไม่ใช่จะไปไหน ก็ต้องขออนุญาต “รอคำอนุญาต” บางครั้งก็เจอคำถามมากมาย ที่ทำให้เราอยากออกไปให้พ้นๆ จากที่เราอยู่

ทำไมคนเราเหมือนกัน ถึงช่างแตกต่างกันเหลือเกิน

ทำไมคนที่ร่ำรวย มีโอกาสเรียนมากๆ มีหน้าที่การงานดี พวกเขาถึงไร้น้ำใจ ปฏิบัติกับพวกเรา เหมือนเราไม่ใช่คนเหมือนกัน

วันนี้ ฉันก็ถูกว่าอีกแล้ว เมื่อคืนนี้มีงานเลี้ยง มีเล่นไพ่กันด้วย ฉันต้องทำข้าวซอยหม้อใหญ่ ทำกับแกล้ม ขนม แล้วก็ไม่พอ ไม่ทันใจเขา จานชามต้องเก็บต้องล้าง เยอะแยะไปหมด ไหนจะต้องรีดผ้า ดูดฝุ่น เปลี่ยนน้ำตู้ปลา

ฉันเหนื่อยมากๆ แต่ก็ยังไม่เสียใจ เท่าถูกเขาว่า

“ทำงานให้มันดีๆ หน่อย ไม่คุ้มเงินเดือนจะส่งกลับ คนอยากอยู่บ้านสบายๆ ยังงี้มีเยอะแยะ”

นึกๆ ฉันก็อยากออกจากบ้านหลังนี้ไป แต่เขาก็บอกว่า ถ้าอยู่ไปครบปีจะขึ้นให้อีกร้อยนึง ถ้าได้ 600 บาท ฉันจะได้มีเงินเหลือบ้าง อยากไปซื้อสมุดมาไว้เขียนบทกวีแทนเล่มเก่า

ถ้าเราไปทำงานอย่างที่มีคนบอกมา มันจะดีไหมหนอ? ชีวิตคนไม่แน่นอนจริงๆ เสียด้วย

คิดถึงบทกวี ในหนังสือ “น้ำค้าง” ของสมภาร พรมทา อีกแล้ว

 

เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน

ค่ำแล้วจะนอนแห่งไหน

ฟ้าทะมึนครืนครั่นน่าหวั่นใจ

เรายังโบกบินไป…ไร้รวงรัง

 

บนฟากฟ้ากว้างไกลเจ้าไร้เพื่อน

กลางพงเถื่อนพฤกษ์ไพรเจ้าไร้หวัง

ดวงใจเล่าก็อ่อนล้าพะว้าพะวัง

เวิ้งว้างดังโลกนี้มีเจ้าเดียว

10 เมษายน

ฉัน, วันที่ไร้อิสรภาพ และต้องการอย่างเหลือเกิน

 

บันทึกที่ อ.สันกำแพง

อีกครั้ง ที่ฉันต้องออกจากบ้าน มาอยู่ห่างไกลจากทุกๆ คนที่ฉันรัก

อีกไม่นาน ก็จะถึงเวลาเปลี่ยน พ.ศ.ใหม่

แต่มันจะมีความหมายอะไร ในเมื่อชีวิตของเรายังคงจมปลักเช่นนี้

บ้านที่อยู่หลังนี้ แตกต่างจากที่เคยอยู่แม่ริม เจ้าของบ้านใจดีกว่าที่ฉันคิด

แต่…จะเอาอะไรกับชีวิต

เมื่อวานนี้โชคดี ได้หนังสือมาเล่มหนึ่งจากถังขยะ หน้าปกฉีกหมด แต่ก็ยังจบ

ชื่อแม่ เขียนโดยแมกซิม กอร์กี้ เป็นเรื่องของชีวิตกรรมกร

ฉันอ่านจนจบ แล้วก็เศร้าใจมากๆ คิดถึงเพื่อนๆ อีกหลายคน

เอาเถอะนะ ถ้าฉันเก็บเงินได้มากพอ ฉันจะกลับไป

สัญญานะทุกๆ คน

เราจะต้องได้พบกันอีก

…เราคงได้พบกันอีก

ฉัน, (คนพเนจร)

ในห้องแคบๆ

 

เคียงข้างสมุดบันทึกของชื่นใจ ก็คือกองสมุดของตัวฉันเอง

มีหลายเล่มที่ตกหล่นหายไปในวันเวลา

แต่ก็มีอีกหลายเล่มที่เฝ้าพกพาติดตัวรักษามันไว้

พ้นจากช่วงสมุดตีเส้นปกลายไทย ก็มีโอกาสได้ใช้สมุดบันทึกเล่มเล็กๆ กับเขาบ้าง

แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อกระดาษแบบใด ล้วนแต่แปดเปื้อนไว้ด้วยน้ำตา

ที่ไม่มีใครมองเห็น