ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
ฝ่าดงระเบิดการเมือง
ปฏิกิริยา ‘โกตี๋-3 นายพล‘
‘ไปป์บอมบ์‘ ลูกที่ 4 โผล่
คดีระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า วันที่ 22 พฤษภาคม
ซึ่งมีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงระเบิดหน้ากองสลากเก่าวันที่ 5 เมษายน และหน้าโรงละครแห่งชาติ วันที่ 15 พฤษภาคม ว่าน่าจะเป็นฝีมือคนร้ายกลุ่มเดียวกัน
โดยมีจุดประสงค์ทางการเมืองในห้วงครบวาระ 3 ปีการรัฐประหารของ คสช.
ผ่านมา 2 สัปดาห์ การสืบสวนสอบสวนทั้งในส่วนของตำรวจและทหารดำเนินไปอย่างเข้มข้น
ในส่วนของตำรวจพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีระเบิดทั้ง 3 ลูก ประกอบด้วย นายตำรวจ บช.น. บช.ก. บช.ส. บก.ป. ตำรวจภูธร และพนักงานสอบสวนแต่ละกองบัญชาการ ทั้งสิ้น 201 นาย ก่อนเพิ่มชื่อ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. เข้ามาภายหลัง รวมเป็น 202 นาย มี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน
ในส่วนของทหารหน่วยข่าวกรองของกองทัพศูนย์รักษาความปลอดภัยตลอดจนสภาความมั่นคงแห่งชาติต่างเข้ามามีส่วนร่วมในการคลี่คลายคดีระเบิดด้วยเช่นกันโดยทำงานแยกส่วนจากพนักงานสืบสวนสอบสวนของตำรวจ
เนื่องจากเป็นเหตุการณ์กระทบต่อความมั่นคงในความรับผิดชอบดูแลของคสช. และกองทัพ โดยเฉพาะระเบิดลูกที่ 3 เกิดขึ้นภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งเป็นพื้นที่ทหาร
ทั้งยังพุ่งเป้าไปที่ “ห้องวงษ์สุวรรณ” ที่ตั้งชื่อตามนามสกุลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม
ดังนั้นไม่ว่าจะตำรวจหรือทหารจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องติดตามจับกุมตัวมือระเบิดที่มาเหยียบจมูกคสช. ถึงถิ่นครั้งนี้ให้ได้
เพื่อเรียกศรัทธาความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงในสายตาของประชาชนกลับคืนมา
ในเบื้องต้นทั้งฝ่ายตำรวจและทหาร จะประเมินสาเหตุแรงจูงใจของกลุ่มมือระเบิดสอดคล้องต้องกันว่ามาจากการเมือง
แต่วิธีการสืบเสาะให้ได้มาซึ่งตัวคนร้ายแตกต่างกัน
ตำรวจให้ความสำคัญที่วัตถุพยานและพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก
ขณะที่ฝ่ายทหารดูเหมือนมุ่งตรงไปยังตัวบุคคลในเครือข่ายการเมืองฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะคนที่มีประวัติเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลคสช. ด้วยวิธีรุนแรง
เช่นกรณีพล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. ออกมาระบุถึง นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง และคดีมาตรา 112 ซึ่งหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ว่าอยู่ในข่ายเชื่อมโยงเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ก่อนมีรายงานข่าวปล่อยชื่อย่อ 3 นายพลทหารนอกราชการ “พ.-ช.-ม.” ตามมาอีกระลอก รวมถึงลูกน้องนายทหารยศพันเอก ที่ไปมีชื่ออยู่ในสมุดเยี่ยมของโรงพยาบาล ก็ตกเป็นเป้าถูกเพ่งเล็งเช่นกัน
ขณะที่พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนของตำรวจ ระบุข้อมูลการสืบสวนของตำรวจค่อนข้างสอดคล้องกับทางกองทัพ แต่ในสำนวนการสอบสวน พยานหลักฐานต่างๆ ยังไปไม่ถึง จึงยังชี้ไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มใด
หลังจากมีชื่อตกเป็นผู้ต้องสงสัย “โกตี๋” วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทางเว็บไซต์ยูทูบ Thais Voice ของ “จอม เพชรประดับ“
ปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าทั้งกล่าวด้วยว่าถ้าหากพวกตนทำคงไม่ระเบิดโรงพยาบาลแต่จะระเบิดทำเนียบรัฐบาลหรือบ้านคนในรัฐบาลเพราะไม่ต้องการให้ชาวบ้านเดือดร้อน
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของคนบางกลุ่มที่ทำกันเองหรือไม่เนื่องจากจุดเกิดเหตุเป็นพื้นที่ทหารคนธรรมดาระดับตาสีตาสาคงไม่สามารถทำได้
ขณะเดียวกัน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) และอดีตที่ปรึกษานายกฯ สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งตรงกับชื่อย่อ “พ.พาน” กล่าวว่า
ตนเป็นทหารมาตลอดชีวิตอยู่ในสนามรบตั้งแต่ยศร้อยตรีถึงพลเอกรู้ดีว่าในการทำสงครามจะไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับโรงพยาบาลหรือแพทย์พร้อมยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับ “โกตี๋“
สำหรับนายพล “ช.ช้าง” เป็น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ที่ออกมาปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า เป็นใครไม่รู้ แต่ไม่ใช่ตนเองแน่นอน “ผมเป็นทหารเก่า เป็นอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและอดีตผู้บัญชาการทหารบก มีแต่ปราบระเบิด ไม่ใช่ทำระเบิด“
ส่วนนายพล “ม.ม้า” รายงานข่าวระบุ เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามควบคุมตัวดำเนินคดีอาวุธสงครามเมื่อปี 2557 มาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าใครเกาะติดสถานการณ์ช่วงนั้น อาจเดาออกว่าคือใคร
การบุกปิดล้อมตรวจค้นบ้านพักนายสุชาติลายน้ำเงินอดีตส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ทหารติดอาวุธครบมือ
รวมถึงการสกัดตรวจค้นขบวนรถและจับกุมนายชาดาไทยเศรษฐ์อดีตส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา แม้เจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นไปตามนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลเพื่อลดปัญหาอาชญากรรม
แต่เมื่อมากระตือรือร้นในช่วงนี้ทำให้ถูกมองว่าเป็นการสร้างเงื่อนปมชี้นำให้สังคมสงสัยมากขึ้นว่าอดีตนักการเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด 3 ครั้งในกรุงเทพฯ หรือไม่
กรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เผยว่า ขณะนี้ทหารได้เชิญตัวคนที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยอาจพัวพันระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มาพูดคุยแล้ว 40-50 คน
รวมกับที่พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ระบุในทางสืบสวนสอบสวนของตำรวจ มีการรายงานกลุ่มคนต้องสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องในการวางระเบิดหรือร่วมทีม จำนวนกว่า 200 คน เป็นข้อมูลของนครบาลส่งมากว่า 100 คน ในส่วนของสันติบาล 80-90 คน
นั่นทำให้คดีระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าที่เชื่อมโยงไปถึงคดีระเบิดอีก 2 ลูกก่อนหน้า กลายเป็นคดีที่มีผู้ต้องสงสัยมากที่สุด 200-250 คน
แต่ทั้งหมดยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดถึงตัว
อย่างไรก็ตามการที่มีข้อมูลผู้ต้องสงสัยจำนวนมากจากหลายสายไหลมารวมกันส่งผลให้เกิดความสับสนกันเองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จนสื่อบางสำนักหยิบยกไปเป็นประเด็นพาดหัวเกี่ยวกับภาพความขัดแย้งระหว่างพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล
หลังจากพล.ต.อ.จักรทิพย์ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดี ว่าสามารถระบุตัวคนวางระเบิดได้แล้วว่าชื่อ–นามสกุลอะไร เป็นใครมาจากไหน แต่ยังไม่ขอบอก
สวนทางกับคำให้สัมภาษณ์ของพล.ต.อ.ศรีวราห์ ในเวลาต่อมาของวันเดียวกัน ว่าพอใจผลการสืบสวนสอบสวนคดีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ทั้งยืนยันในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจชุดคลี่คลายคดียังไม่พบหลักฐานชัดเจนพอจะระบุตัวคนร้ายได้ทั้งหมดยังเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยและยังไม่ขออนุมัติศาลออกหมายจับใครทั้งสิ้น
ยังดีที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ดับชนวนเรื่องนี้ได้รวดเร็ว ด้วยการยืนเคียงคู่กับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในวันรุ่งขึ้น ว่าทุกอย่างเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน
ด้านพล.ต.อ.ศรีวราห์ ก็กล่าวเช่นเดียวกัน ว่าการนำเสนอข่าวของสื่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ยืนยันว่าไม่มีเรื่องงัดกับ ผบ.ตร. แน่นอน ทุกอย่างจึงเป็นอันจบข่าว
แต่แล้วแนวทางการสืบสวนที่เริ่มเข้ารูปเข้ารอย ดูเหมือนจะกลับมายุ่งยากอีกครั้ง
เมื่อมีการตรวจพบระเบิดไปป์บอมบ์ลูกที่ 4 ในป่าหญ้ารกร้างหลังร้านอาหารใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินศูนย์วัฒนธรรม ถนนรัชดาภิเษก
แม้จะสรุปในเบื้องต้นว่าเป็นระเบิดที่คนร้ายนำมาทิ้งเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจค้นจับกุมไม่ได้หวังผลให้เกิดการระเบิดและไม่เกี่ยวข้องกับระเบิด 3 ลูกก่อนหน้านี้
ถึงกระนั้นการอธิบายลักษณะระเบิดที่บรรจุในท่อเหล็กต่อจุดสายชนวนว่าเป็นแบบเดียวกับเหตุระเบิดย่านมีนบุรีเมื่อปี 2557 และระเบิดทางเดินเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าห้างสยามพารากอน เมื่อปี 2558
ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้เห็นภาพความรุนแรงทางการเมืองที่ยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องในยุคสมัยรัฐบาลคสช. ที่มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งพร้อมก่อเหตุระเบิดได้ทุกช่วงเวลา ไม่ว่าในปี 2557, 2558 จนถึงปี 2560
ซึ่งทั้งหมดยังจับมือใครดมไม่ได้