ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มกราคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
ในประเทศ
2021
‘โค’
DISRUPTION
ปี2564 เป็นปีฉลู
หรือปี “โค”
โค ในภาษาไทย ที่บังเอิญพ้องเสียงกับคำในภาษาอังกฤษว่า co- [prf.] อันมีความหมายว่า “ร่วมกัน”
ซึ่งสำหรับปี 2564 หลายฝ่ายประเมินตรงกันว่า ประเทศไทยจะมีสภาพการณ์ไม่แตกต่างจากปี 2563 เท่าใดนัก
นั่นคือ จะยังคงเป็นปี 2021 แห่ง CO-DISRUPTION
หรือปี 2564 จะเป็นการทำลาย “ร่วม” กันระหว่างโรคระบาด และโรคการเมือง
ที่หนักหนาสาหัส ไม่แพ้หรืออาจจะหนักหน่วงกว่าปี 2563 ก็ได้
ในประเด็นโรคระบาด โควิด-19 นั้น
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ยอมรับว่าการระบาดรอบนี้หนักกว่ารอบที่แล้ว
แต่ถึงแม้จะหนักกว่า รัฐบาลก็ไม่อาจใช้วิธีการล็อกดาวน์ประเทศเหมือนเดิมได้
เพราะผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจหนักหน่วง จน “แห้ง” ไปทั้งประเทศ
และแม้จะ “เวรี่กู้” อย่างที่ผู้สื่อข่าวทำเนียบตั้งฉายาให้รัฐบาล ก็ไม่อาจจะรับมือกับการล็อกดาวน์อีกครั้ง
จึงเลือกที่จะล็อกเป็นโซนไป ซึ่งทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องแบกภาระหนัก
โดยเฉพาะ จ.สมุทรสาคร ซึ่งนอกจากเป็นเขตวิกฤต “ไข่แดง” อันทำให้เกิดการแพร่กระจายไปครึ่งค่อนประเทศ คือไม่ต่ำกว่า 38 จังหวัดแล้ว
นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งตรากตรำกับการแก้ปัญหาติดเชื้อโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ก็กลายมาเป็นผู้ติดเชื้อเสียเอง
และพลอยทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย และผู้บริหารกรมอนามัย ซึ่งเดินทางเพื่อร่วมประชุมรับฟังความคืบหน้าการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กับผู้ว่าฯ
ต้องกักตัวเอง พร้อมตรวจหาเชื้อ
พื้นที่สมุทรสาครจึงยังน่ากังวล
เพราะแม้จะควบคุมสูงสุด แต่สภาพจังหวัดที่มากด้วยแรงงานต่างชาติโดยเฉพาะเมียนมา ทำให้ยากต่อการควบคุม
และการแพร่กระจายนั้นไม่ได้จำกัดวงอยู่ที่คนกลุ่มใด ทุกคนมีสิทธิที่จะรับเชื้อร้ายได้
ยิ่งเมื่อเลือกวิธีการไม่ล็อกดาวน์แบบทั่วหน้า ก็ต้องระมัดระวัง
อย่างที่ นพ.ทวีศิลป์บอกว่า เมื่อเราไม่ต้องการให้เศรษฐกิจตึงตัวเกินไป การตัดสินใจใช้ทางสายกลางนั้น ผู้ที่สัมผัสหรือผู้ที่เสี่ยงจะต้องรับผิดชอบดูแลตนเองอย่างสูงที่สุด
แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ก็อาจเปิดช่องโหว่ที่ทำให้การควบคุมยากยิ่งขึ้นไปอีก
และตอนนี้ ที่ทุกคนภาวนาว่าอย่ามาซ้ำเติมในปี 2564 นั่นคือ โควิด-19 ที่กลายพันธุ์ อย่างที่เกิดในอังกฤษ
ขณะที่วัคซีนกว่าที่ไทยจะได้รับก็ยังอีกหลายเดือนหรือจะเป็นปี
นอกจากวิกฤตอันมาจากตัวไวรัสโดยตรงแล้ว
การระบาดหนักที่ จ.สมุทรสาคร ได้ทำให้ปัญหาอื่น “ปริแตก” ออกมาด้วย
อาทิ ขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ ที่เป็นสาเหตุหลักในการนำผู้ติดเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ
โดยมีการระบุถึงการเชื่อมโยงกับ “ราชการรัฐไทย” เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ด้วย
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานเบื้องต้นว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ พลเรือน อาสาสมัคร นายจ้าง นายหน้า เกี่ยวข้องกับขบวนการแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย
ซึ่งได้กำชับให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และกวาดล้างข้าราชการที่เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด
คงต้องติดตามกันในปี 2564 ว่าปัญหานี้จะได้รับการสะสางอย่างเป็นจริงเพียงใด
หรือเป็นแค่ไฟไหม้ฟางเท่านั้น
นอกจากเรื่องค้าแรงงานผิดกฎหมายแล้ว วิกฤตโควิด-19 ยังนำมาซึ่งเรื่องอื้อฉาวอีกเรื่อง
ซึ่งเกิดขึ้นที่ จ.ระยอง เป็นคลัสเตอร์ใหญ่อีกคลัสเตอร์ ที่ทำให้เชื้อระบาด เพราะมีการแพร่ระบาดจากบ่อน
แล้วแพร่กระจายออกไปร่วมร้อยคน อันเนื่องมาจากผู้รับเชื้อไม่ยอมให้ข้อมูลที่แท้จริง
ขณะที่ตำรวจระยองเจ้าของพื้นที่ก็พยายามปัดว่าไม่มีบ่อนในพื้นที่ตนเอง
สร้างกระแสไม่พอใจให้กับสังคม ที่ข้องใจ ทำไมจึงมีการปกปิดข้อมูล
จากพฤติกรรมเช่นนี้เอง ทำให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้ย้าย พล.ต.ต.ปภัชเดช เกตุพันธ์ ผบก.ภ.จว.ระยอง มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.)
ถือเป็นอาการป่วยข้างเคียง ที่ทำให้ภาพฝ่ายข้าราชการ ฝ่ายความมั่นคง เสียภาพลักษณ์หนักขึ้นไปอีก
และที่ จ.ระยอง ยังไม่ได้จบลงแค่นั้น
ยังมีกรณีอื้อฉาวเพิ่มขึ้นไปอีก
เมื่อมีกระแสข่าวผู้มีติดเชื้อโควิด-19 จ.ระยอง เดินทางมาร่วมประชุมที่รัฐสภา
ในฐานะเป็นผู้ติดตามของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบกาสิโนออนไลน์ที่มาจากต่างประเทศ
โดยมีกระแสข่าวว่าเป็นลูกของเจ้าของบ่อนระยองที่เป็นจุดแพร่เชื้อโควิดจำนวนมากด้วย
นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ยอมรับว่าชายชาว จ.ระยอง อายุ 26 ปีนี้มีชื่อเป็นคณะทำงานของตนเอง ส่วนที่มีการระบุว่าบุคคลดังกล่าวเป็นลูกเจ้าของบ่อนการพนันใน จ.ระยองนั้น นายสุชาติกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ทราบ เพราะก่อนรับมาเป็นคณะทำงาน ได้มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีคดีความหรือประวัติเสื่อมเสียแต่อย่างใด มาทราบจากข่าวเช่นกัน จึงได้สั่งการให้ถอนชื่อออกจากคณะทำงานของตนไปแล้ว
ซึ่งจะสายไปหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะอื้อฉาวไปไกล
และล่าสุดที่ จ.ระยอง 35 ราย มีผู้ติดโควิดสะสม 141 รายแล้ว
มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก แน่นอนตอนนี้ก็ต้องลุ้นว่าจากจุดแพร่หลักอย่างสมุทรสาคร ระยอง จะทำให้ทั้งประเทศติดเชื้อกันหมดหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้นก็อาจกดดันให้ต้องปิดประเทศไปโดยปริยาย
ซึ่งนั่นคงทำให้เศรษฐกิจประเทศในปี 2564 แย่หนักขึ้นไปอีก
นอกจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ข้างต้นแล้ว
ในปี 2564 นี้ ถูกคาดหมายว่า อีกปมหนึ่งที่จะยังคงเป็น “วิกฤต” ต่อไป
นั่นคือวิกฤตการเมือง
ที่แนวคิดใหม่ยังแพร่กระจายตัวในหมู่คนรุ่นใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง
จากที่รัฐบาลเคยดูถูกดูแคลนว่า การรวมตัวของ “ม็อบคนรุ่นใหม่” เมื่อปี 2563 เป็นเพียงม็อบมุ้งมิ้งที่ขับเคลื่อนไปได้ไม่กี่น้ำ ก็คงระเหยหายไป
แต่เอาเข้าจริงนับตั้งแต่ 18 กรกฎาคม 2563 การปรากฏตัวของกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่มีไม่กี่ร้อยคน และยื่น 3 ข้อเรียกร้องคือ หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยุบสภา
ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งปริมาณและความคิด
จากกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” พัฒนาเป็น “คณะประชาชนปลดแอก”
พร้อมกับสร้างแนวร่วมขึ้นมาอย่างคึกคัก
โดยเฉพาะเมื่อ 10 สิงหาคม 2563 “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” จัดการชุมนุมใช้ชื่อกิจกรรม “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีการประกาศข้อเรียกร้อง 10 ข้อที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสถาบัน
ภายใต้ 3 ข้อเรียกร้อง 2 หลักการ และ 1 ความฝัน
พร้อมๆ กับปรากฏการณ์การ “ชูสามนิ้ว” และติดโบขาวต้านเผด็จการและหลอมรวมเป็น “คณะราษฎร”
ภายในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือน ม็อบมุ้งมิ้งแม้จะไม่สามารถกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก ยุบสภา
แต่ก็กลายเป็นม็อบที่สั่นสะเทือนสังคมไทย รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
กดดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้จะอยู่ในเกมของฝ่ายรัฐบาล แต่ก็มีภาวะของความไม่แน่นอนสอดแทรกอยู่ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันได้มีการทะลุเพดานไปสู่การปฏิรูปสถาบันหลักของชาติ
ซึ่งแม้จะนำไปสู่การเกิดแรงต่อต้านกลับมาอย่างรุนแรง ทั้งในภาครัฐ ในภาคประชาชนในนามกลุ่ม “ไทยภักดี” ที่อาจทำให้เกิดเหตุไม่พึงประสงค์ได้ตลอดเวลา
แต่กลุ่มคนรุ่นใหม่ก็ได้มีการพลิกแพลงการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จนเป็นกระแสใหม่ ที่ผู้ใหญ่โดยเฉพาะในฟากกลุ่มอนุรักษ์และกลุ่มจารีตต้องปรับตัว เพื่อไล่ให้ทันกับความ “ฉับไว” ที่มีการประสานระหว่างโลกสื่อสารสมัยใหม่กับยุทธวิธีอันคาดไม่ถึงที่ผลิตออกมา “แกง” สร้าง “บิ๊กเซอร์ไพรส์” และทำให้เกิดภาวะ “เบิ้มๆ” ต่อฝ่ายรัฐอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
อันทำให้ฝ่ายรัฐต้องระดมมวลชนเข้ามาสู้ มีการใช้กฎเหล็ก ทั้งการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การปราบปรามม็อบอย่างรุนแรง และงัดเอากฎหมายแรงๆ มาใช้ทั้งมาตรา 112 มาตรา 116 กับแกนนำม็อบ ทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนถูกแจ้งข้อหารวมกว่า 170 คดี และยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ปฏิบัติการของฝ่ายรัฐจะสร้างความระส่ำระสายให้กับแกนนำ
จนฝ่ายรัฐบาลประเมินว่า คณะราษฎรกำลังอ่อนกำลังลง ทั้งความไม่เป็นเอกภาพในแกนนำและมวลชน ทั้งการไม่ได้รับการสนับสนุน ประชาชนที่สับสนในข้อเสนอ ที่สุดขั้ว-ทะลุเพดานเกินไป
แต่คณะราษฎรก็ยืนยัน ในปี 2564 จะมีการเคลื่อนไหวต่อไปแน่
ดังที่นายอานนท์ นำภา ประกาศผ่านเฟซบุ๊ก ว่า
“ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ตั้งเป้าไว้ เราจะพาเพื่อนผู้ลี้ภัยทางการเมืองกลับบ้าน มาฉลองปีใหม่ 2565 ด้วยกันที่ราชดำเนิน”
ซึ่งก็คงต้องรอดูว่า ขึ้นปีวัว 2564 เหล่า “ม็อบราษฎร” จะยังกลับมาชุมนุมคึกคักได้อีกหรือไม่
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า แม้ด้านหนึ่ง สถานการณ์โควิด-19 จะทำให้การชุมนุมหรือการเคลื่อนไหวในเชิงม็อบจะมีข้อจำกัด
แต่กระนั้น หากรัฐบาล รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์กับพวก ตัดสินใจผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายหนักต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอันเนื่องมาจากโควิด-19 มันก็จะกลายเป็นเงื่อนไขที่ผลักดันให้มวลชนออกมาขับไล่รัฐบาลได้
และยิ่งผสานกับโปรแกรมที่ฝ่ายค้านจะเปิดศึกซักฟอกในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นั่นก็อาจจะเพิ่มเงื่อนไขความไม่พอใจต่อรัฐบาลเข้าไปอีก
รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องมีการวัดกำลังกันอย่างหนัก โดยเฉพาะสภาปรสิตอย่างวุฒิสภา จะขัดขวางหนักแค่ไหน
หากประเมินว่าม็อบอ่อนแรงไปแล้ว ก็อาจจะมีการโชว์เทคนิคคว่ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระสองและสามได้
ซึ่งนั่นก็อาจทำให้การเมืองร้อนระอุขึ้นไปอีก
และแน่นอน ประเด็นร้อนเหล่านี้
ทั้งในแง่โรคระบาด และโรคการเมือง
ถูกมองว่า อาจจะหลอมมา “โค” หรือ “ร่วมกัน”
เป็น CO-DISRUPTION รัฐบาลในปี 2564
ที่คาดหมายว่าแม้ “ตู่ไม่รู้ล้ม” แต่ก็คงอ่วมทีเดียว