มนัส สัตยารักษ์ | จาก25 พฤศจิกา…2 ธันวา

เมื่อ 19 พฤศจิกายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ระบุว่า จากสถานการณ์การชุมนุมของ “ราษฎรปลดแอก” ในห้วงที่ผ่านมาซึ่งรัฐบาลกับทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออกโดยสงบบนพื้นฐานของกระบวนการตามกฎหมายและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น

สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่มีท่าทีจ ะบรรเทาความรุนแรงลง กลับมีแนวโน้มจะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งและนำไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอาจเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและสถาบัน รวมทั้งความสงบสุขปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยทั่วไป

รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงจึงจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติ โดยจะบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับทุกมาตราที่มีอยู่ ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมที่กระทำความผิด

แถลงการณ์ของรัฐบาลดังกล่าว ผู้ชุมนุมและสื่อ (ฝ่ายเสี้ยม) สรุปตีความว่า รัฐบาลกำลังคุกคามประชาชน เป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ แต่ประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้ไม้แข็งตามแถลงการณ์ สนับสนุนให้ใช้ ม.112 ในการแก้ปัญหาจาบจ้วงสถาบัน

ขณะเดียวกันแกนนำผู้ชุมนุมกลับท้าทายให้รัฐบาลใช้ ม.112

วันรุ่งขึ้น (ที่ 20) พล.อ.ประยุทธ์ถูกผู้สื่อข่าวรุมล้อมซักถามถึงรายละเอียดของกฎหมายในแถลงการณ์ว่า รวมถึงมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาด้วยหรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “ทำไม? ก็เป็นกฎหมายทุกฉบับ สื่อเข้าใจคำว่ากฎหมายทุกฉบับหรือไม่ เข้าใจภาษาไทยหรือเปล่า แปลภาษาไทยกันสิ คำว่ากฎหมายทุกฉบับ”

สื่อยังถามย้ำว่า รวมถึงมาตรา 112 ด้วยหรือไม่?

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้ำซ้ำว่า “ทุกฉบับ!…เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดำเนินการ เพราะเป็นความคิดเห็นจากประชาชนจำนวนมาก ประชาชนทั้งประเทศที่รับไม่ได้ ทำไมสื่อไม่ไปขยายความกับคนที่ทำความดีบ้าง เด็กนักเรียนและประชาชนที่มาคอยลบล้างสีที่ถูกสาด ละเมิดสถาบันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

“ผมคนหนึ่งที่ยอมรับไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ย้ำ

มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”

ไม่มีนิยามว่าพฤติการณ์แบบใดเข้าข่าย หมิ่นประมาท ดูหมิ่น ลักษณะการกระทำความผิดมีหลากหลาย แล้วแต่ศาลจะพิเคราะห์เจตนา

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำรัสไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2548 มีใจความสำคัญว่า “สามารถวิจารณ์กษัตริย์ได้ หากจับคนหมิ่นกษัตริย์เข้าคุก กษัตริย์จะเดือดร้อน”

เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะฟันธงว่า การบังคับใช้มาตรา 112 ของรัฐควรหรือไม่ควร จะเป็นประโยชน์ต่อสถาบันหรือไม่เพียงใด แต่ที่แน่นอนก็คือ คนที่เดือดร้อนคือพระมหากษัตริย์

ดังนั้น ถ้าไม่มีเหตุผลซ่อนเร้นอื่นใด หนทางที่ดีที่สุดก็คือเจรจาและพูดคุยกันในวง “สมานฉันท์” ที่กำลังฟอร์มทีมดำเนินการอยู่แล้วก็หยุดชะงักไป

ครั้นวันที่ 25 พฤศจิกายนมาถึง จึงอดกังวลใจไม่ได้ว่า ท้ายที่สุดแล้วจะจบลงสถานใด

แม้หลายประเทศในโลกที่ใช้ระบอบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประเทศเหล่านั้นต่างมีกฎหมายปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยและถวายพระเกียรติ โดยไม่ถูกต่างชาติแทรกแซงและทัดทาน

คงมีแต่ประเทศไทยดูจะเป็นประเทศเดียวที่ต่างชาติพากันทักถามและต่อต้าน

ถ้าจะให้เดาก็เดาได้ว่า อาจจะเป็นเพราะประเทศของเรามีที่ตั้งเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมบางประการที่จะใช้เป็นศูนย์กลางทำอะไรบางอย่างที่ต้องปิดลับก็ได้ แต่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอุปสรรค!

วันที่ 25 พฤศจิกายน “แอมเนสตี้” นำ 13 องค์กรระหว่างประเทศ วางแถลงการณ์จี้รัฐบาลไทยคุ้มครองเสรีภาพผู้ชุมนุม แถลงการณ์เริ่มด้วยการอ้าง “สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ” รวมทั้งกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) แต่ทางการไทยมักจะปิดกั้นการแสดงออกและจำกัดการชุมนุม ประชุม หรือเสวนาสาธารณะเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน การปฏิรูปทางการเมือง และบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคม

ผู้อ่านอาจจะเห็นว่าไม่น่าเชื่อที่ “แอมเนสตี้ไทย” สามารถรวบรวม 13 องค์กรระหว่างประเทศ (ชื่อเป็นภาษาอังกฤษยาวเฟื้อย) ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

แต่แกนนำชุมนุมเชื่อครับ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่กล้าถึงขนาด “ละเมิดสถาบันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” (ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าว)

โดยส่วนตัวของผม ผมก็เชื่อเช่นเดียวกับแกนนำ แถมยังเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นแม่ทัพที่ไม่เคยออกรบมาก่อนด้วย เพราะแถลงการณ์และการให้สัมภาษณ์แต่ละครั้ง (รวมทั้งครั้งนี้) เต็มไปด้วยอารมณ์จนเยาวชนก็เดาออกว่ารัฐบาลจะมารูปไหน

ในวันที่ 25 เช่นกัน ผมพบเพจเอกสารพื้นดำตัวอักษรขาว “สิ่งที่การ์ดต้องใช้ในวันที่ 25 นี้” ใน FB แต่จำไม่ได้ว่าเป็นหน้าเพจของใคร แสดงถึงความเตรียมพร้อมของผู้ชุมนุม

มีลิสต์รายการอุปกรณ์มากกว่า 8 อย่าง สำหรับใช้ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ เช่น โล่ทรงต่างๆ ทั้งแบบกลมนูน สี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบโค้ง สี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบมีมุม

หมวก MICH 2000 ไฟฉายแรงสูง (หลอด CREE) และถ่านสำรอง

เลเซอร์แรงสูงสีฟ้า สำหรับเปิดใส่กล้องวงจรปิด

จุกอุดหู หูฟังลดเสียง ฯลฯ เป็นต้น

แสดงถึงประสบการณ์รอบด้าน และเห็นได้ว่าพอใกล้จะถึงเวลานัดชุมนุม แกนนำคงเห็นว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจคงป้องกันสำนักงานทรัพย์สินฯ แบบถวายหัว จึงแจ้งย้ายไปชุมนุมที่หน้าสำนักงานใหญ่ SCB

แม้ว่าภาพการชุมนุมโดยทั่วไปเหมือนกับเป็นงานวัด งานรื่นเริง หรืองานเทศกาลอะไรสักอย่าง แต่ก็แสดงถึงความเตรียมพร้อมด้วยเช่นกัน

ช่วงเช้าวันที่ 25 มีรายงานข่าวว่าพนักงานสอบสวนของพื้นที่ต่างๆ ได้แจ้งข้อหาแก่ 12 แกนนำ เริ่มตั้งแต่พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน 8 คดี ไปจนคนสุดท้าย 1 คดี ในจำนวนนี้มีข้อหาตาม ม.112 ประมวลกฎหมายอาญาด้วย

ตามข่าวกล่าวว่า ศาลไม่อนุมัติออกหมายจับ ด้วยเหตุผลว่าผู้ต้องหาเป็นบุคคลสาธารณะมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จึงให้ออกหมายเรียกแทน

นับว่าเป็นโชคดีของพนักงานสอบสวนหรือตำรวจที่ไม่ต้องเผชิญกับภาระหนักทับถมเข้ามาในเวลาเดียวกัน

ผมเห็นว่ากลุ่มผู้ประท้วงของไทยต่างเชื่อมั่นในตัวโจชัว หว่อง และการประท้วงแบบฮ่องกงสไตล์ ถึงขั้นชูธงฮ่องกงในการชุมนุม รวมทั้งมีเอกสารไปยังประเทศมหาอำนาจตะวันตกให้ช่วยเหลือผู้ประท้วงของไทยเหมือนที่ช่วยเหลือโจชัว หว่อง

เป็นตรรกะเพี้ยนๆ ของผู้ชุมนุมและของผมครับ (ฮา)