ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ไม่มีใครทำให้สงครามระหว่างรุ่น ลามเท่ารัฐบาล

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ปลุกปั่นตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญ “สงครามระหว่างรุ่น” และถึงแม้คุณประยุทธ์จะพล่ามเรื่องนี้โดยไร้หลักฐานจนเลอะเหมือนหลายเรื่อง ความคิดนี้ก็ปรากฏในคุณอภิรัชต์ คงสมพงษ์ หรือลิ่วล้อคุณประยุทธ์ในพลังประชารัฐ, ในวุฒิสภา, ในไทยภักดี ฯลฯ ด้วยเหมือนกัน

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นจำเลยที่คุณประยุทธ์และคนแบบคุณประยุทธ์โทษว่าสร้าง “สงครามระหว่างรุ่น” ขึ้นมา

แต่นับจากวันที่ธนาธรไม่มีคดีจนธนาธรโดนคดีนับไม่ถ้วน ความเชื่อว่าธนาธรให้กำเนิด “สงครามระหว่างรุ่น” ได้คลายตัวจนมีคนพูดแค่ระดับอุ๊ หฤทัย, เปลว สีเงิน, คชโยธี หรือไลน์สวัสดีวันจันทร์

ถ้าการที่คนรุ่นใหม่เลือกอนาคตใหม่ทำให้คุณประยุทธ์สติแตกจนไล่ล่าธนาธรเป็นปี ปรากฏการณ์ที่คนรุ่นใหม่ไล่รัฐบาลจนลามเป็นพูดเรื่องสถาบันแบบไม่ยั้งน่าจะทำให้คนแบบคุณประยุทธ์หลุดโลกยิ่งขึ้น

และอาจไม่เกินจริงที่จะสรุปว่าคนกลุ่มนี้ไม่รู้ว่าตัวเองมีตำแหน่งแห่งที่อย่างไรในโลกปัจจุบัน

ขณะที่คนรุ่นใหม่วันนี้มีการแสดงออกที่ดุจนเทียบแล้วการแสดงออกสมัยเลือกธนาธรกลายเป็นเด็ก

คำโจมตีของคุณประยุทธ์และคนแบบคุณประยุทธ์เรื่อง “สงครามระหว่างรุ่น” กลับแผ่วเบาลงราวไม่อยากให้สังคมไทยตระหนักว่ามีความแตกต่างทางความคิดระหว่าง “รุ่น” ต่อไปอีกเลย

เมื่อคำนึงถึงการโจมตีที่คุณประยุทธ์มีต่อ “คนรุ่นใหม่” หลังปี 2562 เป็นต้นมา ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับคือ “คนรุ่นใหม่” หันหลังให้คุณประยุทธ์และคนแบบคุณประยุทธ์ไปหมดแล้ว

คนหนุ่ม-สาวของพลังประชารัฐ, ประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย ฯลฯ จึงไม่มีภาพเป็นคนรุ่นใหม่อย่างอนาคตใหม่ได้เลย

ธนาธรปักหมุดอนาคตใหม่โดยเสนอความคิดเรื่อง “อนาคต” ที่ต่างจากปัจจุบัน

ผลก็คือ ต่อให้อนาคตใหม่จะเหมือนหลายพรรคในแง่ต้านเผด็จการ

แต่ไม่มีพรรคต้านเผด็จการไหนทำให้ “อนาคต” เป็นเรื่องที่คนเชื่อว่าสามารถจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ด้วยพลังประชาชนอย่างที่อนาคตใหม่ทำ

ถ้าการเมืองในปี 2562 คือการเมืองแห่งการสร้างอนาคตจนคนหลายล้านเห็นว่าคุณประยุทธ์ไม่มีปัญญาทำให้ประชาชนมีอนาคตที่ดี และต่อให้คุณประยุทธ์จะดึงคุณอุตตม สาวนายน มาพูดเรื่องอีอีซี, เศรษฐกิจดิจิตอล ฯลฯ ผลที่เกิดคือไม่มีใครเชื่อมากนัก

ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่ไม่มีแคร์ด้วยซ้ำว่าใครเป็นรัฐมนตรีคลัง

ไม่มีใครรู้ว่าคนรุ่นใหม่วันนี้ชอบพรรคไหนหรืออยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี

แต่ที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ ก็คือคุณประยุทธ์, คนแบบคุณประยุทธ์ และวิธีคิดแบบคุณประยุทธ์กับพวกนั้นไม่ได้อยู่ในฉากอนาคตที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันถึงจนคนรุ่นใหม่ปฏิเสธทุกสิ่งที่เกี่ยวกับคุณประยุทธ์แทบสิ้นเชิง

คุณประยุทธ์สร้างระบอบประยุทธ์ซึ่งต้องการกดหัวทั้งประเทศไว้ใต้ “แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” แต่ด้วยสารรูปของบุคคลและความไร้น้ำยาของระบอบ จินตนาการสู่อนาคตของคนรุ่นใหม่ไม่มีที่ว่างให้กับคุณประยุทธ์และคนที่คิดแบบคุณประยุทธ์ ต่อให้จะมาในรูปพรรคกล้าของคุณกรณ์ก็ตาม

ด้วยความตระหนกที่ตระหนักว่าโลกเคลื่อนสู่อนาคตซึ่งระบอบที่หนุนหลังคุณประยุทธ์ควบคุมไม่ได้

คุณประยุทธ์ตัดสินใจจองจำอนาคตให้อยู่ใต้เผด็จการโหลยโท่ยจนอนาคตเท่ากับความสิ้นหวัง

ผลก็คือ คนมหาศาลที่ต้องการมีอนาคตตระหนักถึงความจำเป็นในการโค่นระบอบประยุทธ์ลงไป

ถ้าการเมืองในปี 2562 คือการเลือกตัวแทนไปเปลี่ยนอนาคตให้ดีกว่าปัจจุบัน การเมืองในปี 2563 ก็คือการต่อต้านผู้นำห่วยในระบอบห่วยที่ทำปัจจุบันห่วยจนฝาโลงคืออนาคตของประเทศ “สงครามระหว่างรุ่น” จึงเพิ่งเกิดในปีนี้ซึ่งระบอบถูกต่อต้านจนเกิดยุคสมัยอันเป็นที่สุดของความกระอักกระอ่วนใจ

ด้วยความตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ที่ชุมนุมไล่รัฐบาลจนพูดเรื่องสถาบันขั้นรัฐยัดคดี 112 ก็ไม่กลัว คุณประยุทธ์ไม่กล้าด่าคนรุ่นใหม่จนทำได้แค่โทษสื่อว่าทำให้คนสนใจม็อบกว่าข่าวเสด็จ

ปฏิกิริยานี้สะท้อนความอึดอัดของคุณประยุทธ์ที่พบว่าคนรุ่นใหม่ทลายโลกแบบที่คุณประยุทธ์และพวกคุ้นเคย

ภายใต้เปลือกนอกที่มองแบบฉาบฉวยแล้วเป็นแค่การประท้วงหน้าธนาคารไทยพาณิชย์, ราบ 11 รักษาพระองค์, ไปเรียนโดยไม่ใส่ชุดนักเรียน ฯลฯ

สิ่งที่กำลังก่อตัวอย่างเห็นได้ชัดคือคนรุ่นใหม่มหาศาลกำลังเข้าไปรื้ออดีตหรีอ “ประวัติศาสตร์” ที่ไม่สมเหตุสมผลในสายตาของปัจจุบัน

นักศึกษาพูดตั้งแต่ต้นว่าต่อสู้แบบ “ทะลุเพดาน” ขั้นไม่มีวันลดเพดานลงมา แต่ยิ่งนานยิ่งเห็นว่า “เพดาน” ที่ไม่ได้มีแค่โจมตีว่าใครอยู่เบื้องหลังประยุทธ์ตามแนวคิด “รัฐพันลึก” หรือ “การเมืองเครือข่าย” แต่คือการปะทะกับความทรงจำของ “ชาติ” ซึ่งชนชั้นนำยัดเยียดให้คนเชื่อจนปัจจุบัน

ด้วยการประท้วงหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ คนจำนวนมากตาสว่างเรื่องพระคลังข้างที่, การผูกขาดการค้า และหลักแบ่งแยกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ด้วยการประท้วงหน้าราบ 11 คนจำนวนมากเข้าใจว่าทหารฆ่าคนเสื้อแดงอย่างอำมหิตในปี 2553 อย่างรวดเร็ว

ขอนแก่นเป็นสมรภูมิที่ประชาชนต่อสู้กับความทรงจำที่รัฐยัดเยียดอย่างดุเดือด เพราะที่นั่นเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์เผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งอุ้มฆ่าประชาชนแล้วยัดข้อหาคอมมิวนิสต์จนบ้าคลั่ง แต่สิ่งที่คนขอนแก่นทำคือเอารูปจำลองคนถูกฆ่าแล้วควักเครื่องในทิ้งแม่น้ำหลังรัฐประหาร 2557 วางบนหัวสฤษดิ์เลย

ด้วยการประณามเชิงสัญลักษณ์ของคนขอนแก่นทำต่อจอมพลที่ให้กำเนิดเผด็จการราชาชาตินิยม สิ่งที่คนรุ่นใหม่ทำให้สังคมเห็นคือการเทียบเคียงเผด็จการทหารปี 2500 กับ พล.อ.ประยุทธ์ปี 2557 เพื่อให้เห็นความคลั่งของการฆ่า

และตั้งคำถามต่อว่าอะไรทำให้เผด็จการทหารมีอำนาจอย่างปัจจุบัน

คุณประยุทธ์มักโจมตี “คนรุ่นใหม่” ว่าประท้วงนั่นนี่เพราะไม่เรียนประวัติศาสตร์

แต่ถ้าคุณประยุทธ์อ่านก่อนพูดก็จะรู้ว่าตำราประวัติศาสตร์ถูก “นิพนธ์” โดยคนที่มีความเชื่อบางอย่าง “คนรุ่นใหม่” จึงไม่ใช่ไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์ แต่เรียนจนรู้ว่าตำราสะท้อนแค่ความทรงจำที่รัฐยัดเยียดประชาชน

ด้วยปฏิบัติการพูดทะลุเพดานที่คนรุ่นใหม่ทำในปริมณฑลต่างๆ ติดต่อกันครึ่งปี แสงสว่างจากดวงตะวันที่ทะลุกะลาได้ขับไล่ความมืดจากอวิชชาแห่งอดีตเหมือนที่ขับไล่คนแบบประยุทธ์จากจินตนาการเรื่องอนาคต สงครามช่วงชิงความทรงจำกำลังเกิดแบบเดียวกับสงครามช่วงชิงอนาคตที่ผ่านมา

คุณประยุทธ์และลิ่วล้อในกองทัพหรือ ส.ว.พยายามโจมตีว่า “คนรุ่นใหม่” ถูกต่อต้านโดยคนหลายฝ่ายในสังคม

แต่ที่จริงกลุ่มต่อต้านคนรุ่นใหม่มักเป็นคนวัย 50+++ ซึ่งมีพฤติกรรมก้าวร้าว หยาบคาย ใช้กำลัง จาบจ้วงเรื่องเพศ ฯลฯ ราวกับเป็นการรับช่วงจิตวิญญาณแบบรัฐมาในร่างประชาชน

ในการปราศรัยของราษฎรใต้ที่หาดใหญ่ ภาพการคุกคามที่กลุ่มไทยภักดีทำกับราษฎรสะท้อนทุกอย่างในประเทศตอนนี้ ชายแก่บุกพื้นที่ชุมนุมพร้อมถาดเพื่อทำร้ายฝายตรงข้าม ตะโกนด่านักศึกษาหญิงว่าเป็นหญิงขายตัว ขณะที่นักศึกษาหญิงชูสามนิ้วยิ้มเผชิญหน้าชายแก่คราวปู่อย่างสง่างาม

ประเทศไทยในเวลานี้กำลังเกิดสงครามระหว่างรุ่นแล้วจริงๆ จนแม้แต่การไม่ใส่ชุดนักเรียนไปเรียนในวันที่ 1 ธันวาคม ก็ถูกครูหรือกองหนุนรัฐบาลจำนวนมากใช้เป็นข้ออ้างในการห้ามเด็กเข้าห้องเรียนไปด้วย

อำนาจนิยมและความรุนแรงจึงเป็นเครื่องมือที่คนแบบคุณประยุทธ์ใช้กับคนรุ่นหลังอย่างสมบูรณ์

สังคมไทยปลายปี 2563 เดินหน้าสู่การเผชิญหน้าระหว่างรัฐกับประชาชนระดับต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการเมืองโดยตรงและไม่เกี่ยว

การปรากฏของความไม่เห็นด้วยจากประชาชนตั้งแต่เรื่องการเมืองสู่เรื่องชุดนักเรียนกำลังเผชิญกับรัฐที่ทำแค่ใช้วิธีอำนาจนิยมอย่างจับ, ยัด 112 หรือห้ามเข้าห้องเรียน

คุณูปการของขบวนการเคลื่อนไหวปี 2563 คือการตีแผ่ให้คนมหาศาลที่ทนทุกข์กล้าออกมาตีแผ่ความทุกข์ดังๆ ในสังคม แต่ยิ่งตีแผ่ก็ยิ่งเห็นว่าทุกเรื่องของความทุกข์เชื่อมโยงกับอุ้มมือทมิฬของชนชั้นนำเยอะไปหมด ชนชั้นนำและคนที่คิดเหมือนชนชั้นนำจึงรับเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้เลย

สังคมไทยจะเดินหน้าสู่การมีเรื่องครั้งใหญ่แน่ๆ หากชนชั้นนำไม่หยุดทำตัวเหมือนลุงแก่ๆ ที่ไล่ด่านักเรียนนักศึกษากลุ่มราษฎรที่หาดใหญ่ นั่นคือยิ่งนานยิ่งกร่าง ใช้กำลังเป็นใหญ่ ตอบโต้ด้วยเหตุผลไม่ได้ ทำได้แค่เป็นอันธพาลใช้เฟกนิวส์ปลุกปั่นหรือเป็นข้ออ้างในการประทุษร้ายคนที่เห็นต่างกัน

ไม่มีใครทำให้ความขัดแย้งในสังคมไทยลุกลามเท่ากับรัฐหรือกองหนุนทั้งที่อยู่ในอำนาจรัฐหรืออยู่นอกวงจรอำนาจออกไป