อนุสรณ์ ติปยานนท์ : รสชาติที่ห้า

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (58)
อุทยานรส (4)

“สวมเสื้อผ้าหลวมๆ

ฉันพบผู้ชายคนหนึ่ง

ในคืนที่มีแต่แสงหิ่งห้อย”

“คัตสุระ โนโบโกะ”

 

ศาสตราจารย์อิเคดะไปถึงร้านอาหารก่อนเวลานัดเล็กน้อย บริกรพาเขาไปที่โต๊ะซึ่งเขาจองไว้ โต๊ะขนาดสองที่นั่ง เขานั่งลงที่โต๊ะ บริกรเสิร์ฟน้ำชาให้เขา เขามองดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ ยังพอมีเวลา เขาจุดบุหรี่ขึ้นสูบ นี่อาจเป็นการเจรจาธุรกิจครั้งแรกในชีวิตของเขา นี่อาจเป็นการเจรจาธุรกิจครั้งแรกของคนที่ทำงานในแวดวงวิชาการอย่างเขา

สถานการณ์ในโลกยามนี้ดูอ่อนไหวอย่างประหลาด รัสเซียดูไม่มั่นคง จีนไม่มั่นคง สองประเทศที่ส่งอิทธิพลต่อประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าเราจะชนะในยุทธนาวีกับรัสเซีย แต่ใครเล่าจะกล้าปฏิเสธมหาอำนาจอย่างประเทศรัสเซียได้

ศตวรรษก่อน นโปเลียนผู้อหังการ์ยังไม่สามารถพิชิตมอสโกได้ ป่วยการไปไยที่จะคิดถึงประเทศอื่น แต่การคิดถึงเรื่องสงครามมันไกลตัวไปไหม แต่นั่นเอง ไม่ไกลหรอก อิเคดะบอกกับตนเอง ทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรไกลตัวเราเลย

เขาคิดเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ เพราะความหมกมุ่นในงาน เป็นเวลากว่าสามเดือนที่เขาอยู่กับการค้นหารสชาติที่ต่างออกไป เขากับเจ้าหนุ่มคนนั้น โยชิมาสะ คูริฮาระ แทบจะกินนอนอยู่ในห้องทำงานและห้องทดลองกันอยู่แล้ว

โชคดีที่โยชิมาสะยังเป็นคนโสดอยู่ มิเช่นนั้นแล้ว เขาคงรู้สึกผิดไม่น้อยที่พรากคนหนุ่มเช่นนี้มาจากครอบครัวของเขา

 

ส่วนตัวเขาเองนั้น อิเคดะคิด ไม่เป็นไรหรอก มันสมควรอยู่เองที่เขาควรจะทุ่มเทตนเองขนาดนี้ หากเขาทำสำเร็จเทอิจะต้องดีใจแน่ๆ ว่าการที่เขาหายหน้าไปจากครอบครัวอยู่เสมอนั้นให้ผลลัพธ์ที่น่าชื่นชมเพียงใด เธอจะต้องดีใจแน่ๆ แม้ว่าเธอจะไม่ใช่นักเคมีก็ตามที

แต่ทำไมเล่า นั่นเป็นข้อด้อยของเธอหรือ หามิได้ นั่นเป็นข้อเด่นของเธอต่างหาก

ลองนึกดูสิว่าหากเธอเป็นนักเคมีเหมือนกันกับเขา บทสนทนาของพวกเขาจะน่าเบื่อสักเพียงใด

และลองนึกภาพว่าเขาต้องพึ่งพาเธอปรุงอาหารให้ทาน ไม่ล่ะ เขาไม่เชื่อว่านักเคมีจะทำอาหารได้น่าทานเหมือนเทอิภรรยาของเขา

อันที่จริงแล้ว การทำอาหารกับการผสมสารประกอบและสิ่งต่างๆ ในทางเคมีก็มีอะไรคล้ายคลึงกันอยู่มาก เพียงแต่นักเคมีไม่ได้สนใจเรื่องรสชาติต่างหาก ไม่แน่นักอีกร้อยปีข้างหน้าอาจมีคนสนใจอาหารไปถึงระดับโมเลกุล มีการแยกธาตุต่างๆ มาปรุงรสอาหาร มีการใช้ไนโตรเจนเหลว ก๊าซบีเทนบนโต๊ะอาหาร น่าจะสนุกเป็นแน่ แต่คงไม่ใช่เวลานี้หรอก มันยังเร็วเกินไป

แต่ที่ไม่เร็วเกินไปคือการค้นคว้าของเขา สามเดือนผ่านไป เขาเริ่มคาดเดาได้แล้วว่าคำตอบของรสชาติที่ห้าหรือรสชาติใหม่น่าจะอยู่ที่กรดชนิดหนึ่งที่เรียกว่ากรดกลูตามิก

แต่กระนั้นการผสมกรดดังกล่าวกับส่วนประกอบอื่นยังไม่ได้ให้ผลลัพธ์เท่ากับรสชาติที่เขาสัมผัสจากสาหร่ายคอมบุในคืนนั้น

แต่เขาเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องสามารถประกาศการค้นพบรสชาติที่ห้าได้แน่นอน

 

รสชาติที่ห้า อิเคดะหัวเราะกับตนเองเบาๆ รสชาติที่ห้าเป็นอะไรที่ถูกพูดถึงมาเนิ่นนาน เมื่อก่อนหน้านี้ คนเราก็เชื่อว่าความร้อนเป็นรสที่ห้าอยู่หลายร้อยปี แถมยังเอาไปควบคู่กับรสเผ็ดอีก กว่าจะพบว่านั่นเป็นผลจากปฏิกิริยากับผิวหนังมากกว่าเรื่องอื่น

แต่นั่นล่ะนะ หลายร้อยปีก่อนใครจะใช้วิธีการคริสตัลไลเซชั่นค้นหารสชาติแบบเขากันเล่า

คิดดูก็น่าแปลกคนญี่ปุ่นกินซุปจากคอมบุกันแทบทุกคน มีซุปคอมบุถูกกินในวันหนึ่งๆ เป็นพันถ้วย หมื่นถ้วย แต่ทำไมมีแต่เขาเล่าที่เฉลียวใจ เขาต้องถูกกำหนดมาแล้วให้เป็นผู้ค้นพบสิ่งนี้แน่ๆ

ทว่า ปัญหาเดิมของเขาก็ยังคงอยู่ การค้นพบของเขามันจะมีประโยชน์อะไรได้บ้าง สำหรับแม่ครัวทั่วไปหรือ สำหรับพวกกินอาหารไม่ได้รสชาติหรือ เอาเวลาไปค้นหาดินปืนที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีกว่าไหม สงครามกำลังจะเริ่มในหลายพื้นที่แล้ว นั่นน่าจะได้ทั้งเงินและชื่อเสียง เขาไม่มั่นใจในประโยชน์จากการค้นพบของตนเองเลย ความตื่นเต้นในช่วงแรกของการค้นคว้าหายไปหมด มันจะมีคุณค่าอะไรได้บ้างเล่าสิ่งที่เขาค้นพบนี่ นั่นเองที่ทำให้เขาต้องมีนัดหมายในอาหารมื้อนี้

เขารู้จักคุณซาบุโร่ซูเกะ ผ่านทางเพื่อนคนหนึ่ง งานเลี้ยงอะไรสักงานที่เขาเปรยถึงสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่ และแจ้งความจำนงว่าเขาคิดว่ามันอาจเป็นสิ่งที่ทำเงินได้หากมีผู้ลงทุนที่มีวิสัยทัศน์พอ เป็นเวลาหลายสัปดาห์จนเขาแทบลืมไปแล้ว ที่ชายคนหนึ่งส่งจดหมายมาหาเขา “ผมมีนามว่าซาบุโร่ซูเกะ ผมฟังเรื่องราวการค้นคว้าของคุณจากเพื่อนของผมที่เป็นเพื่อนของคุณด้วย ผมเห็นว่ามันมีความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ หากแต่ผมคงต้องสอบถามรายละเอียดจากคุณมากกว่านี้ หากคุณพอมีเวลาว่าง เรานัดกินอาหารค่ำกันสักมื้อจะได้ไหม?”

ศาสตราจารย์อิเคดะตอบจดหมายนั้นในทันที และขณะนี้เองเขากำลังใจจดใจจ่อกับการได้พบคุณซาบุโร่ซูเกะ ไม่ดีเลย การดูนาฬิกาตลอดเวลาทำให้เขาดูเป็นคนขี้กระวนกระวายเกินเหตุไปแล้ว

 

ร้อยเอกชินจิพบเห็ดมัตซึตาเกะดอกแรกในช่วงสาย เขาลูบผิวอันนุ่มนวลของมันดังการสวมกอดญาติผู้ใหญ่ที่คุ้นเคย

นาทีนั้นเองที่เขารู้สึกตัวว่าตนเองเหงาเพียงใด เป็นเวลานานมากที่เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้

โรงเรียนทหารสอนให้เขาเป็นคนเข้มแข็งและเขาแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าตนเองร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อใด

แต่ขณะที่เขาสัมผัสเห็ดมัตซึตาเกะและได้กลิ่นของมัน น้ำตาของเขาก็หลั่งไหลออกมา

รสชาติของเห็ดมัตซึตาเกะเป็นเอกลักษณ์ กลิ่นของมัตซึตาเกะนั้นเป็นเอกลักษณ์

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำไมจึงไม่มีใครค้นคว้าในเรื่องเหล่านี้เลย

อาจเป็นได้ว่าทุกครั้งที่ใครได้พบเห็ดมัตซึตาเกะ เขาก็กินมันก่อนจนหมดและมาสำนึกเสียใจว่าควรสำรวจมันมากกว่านี้

ชินจิหัวเราะกับตนเอง นี่เป็นเรื่องตลกชั้นดีได้เลย เขาจะจำมันไว้เล่าให้ลูกน้องฟัง ควรมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเห็ดมัดซึตาเกะมากกว่านี้สิ ถ้าคนฝรั่งเศสจะภูมิใจในเห็ดทรัฟเฟิลของเขา ชาวญี่ปุ่นก็ควรภูมิใจในเห็ดมัดซึตาเกะได้ สีขาวปานงาช้างของมันเป็นคู่เปรียบเทียบกับสีดำของเห็ดทรัฟเฟิลได้เป็นอย่างดี

เอาจริงถ้าคนเราหันมาทำสงครามผ่านทางอาหารมากกว่าศัสตราวุธเขาก็คงไม่ต้องมาเร่ร่อนห่างไกลบ้านเกิดอย่างนี้หรอก

ชินจิลุกออกจากที่นั่ง เขาจำเป็นจะต้องหาเห็ดมัตซึตาเกะให้ได้มากกว่านี้ เขามีเต้าหู้เตรียมพร้อมไว้แล้วที่ที่พัก แต่ถ้าจะทำซุปเห็ดหรือซุอิโมโนะในบ่ายนี้ เขาจะต้องได้เห็ดกลับไปให้มากกว่านี้

 

ซาบุโร่ซูเกะมาถึงร้านอาหารตรงตามเวลา เขามองหาชายที่นัดไว้ไปรอบๆ ก่อนจะเห็นศาสตราจารย์อิเคดะนั่งจิบน้ำชาอยู่ที่มุมห้อง แทนการนำโดยบริกร ซาบุโร่ซูเกะตรงเข้าไปที่โต๊ะ เขายื่นนามบัตรให้อิเคดะก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

อิเคดะเองก็ยื่นนามบัตรของเขาให้ซาบุโร่ซูเกะเมื่อเขานั่งลงเรียบร้อยแล้ว

บริกรนำเมนูอาหารมาให้ทั้งสองคน

ซาบุโร่ซูเกะสั่งเครื่องดื่มเป็นเบียร์อาซาอี ในขณะที่อิเคดะปฏิเสธ เขาบอกว่าช่วงเวลาที่กำลังติดอยู่กับการทดลองนี้การดื่มของมึนเมาไม่น่าให้ผลดี

อีกอย่างเขาก็กล่าวติดตลกว่าตัวเขานั้นกลัวว่าถ้าเผลอไผลไปอาจจิบแอลกอฮอล์ในห้องทดลองได้เวลาอยากดื่มขึ้นมา ซาบุโร่ซูเกะหัวเราะ ก่อนจะยื่นเมนูให้อิเคดะเป็นคนเลือกอาหารสำหรับพวกเขาทั้งสองคน

อิเคดะขอเริ่มด้วยซุอิโมโนะหรือซุปมัตซึตาเกะ ก่อนจะตามด้วยปลาซัมมะย่างและข้าว

ซาบุโร่ซูเกะขอแบบเดียวกันแต่เขาขอเพิ่มเทมปุระอีกอย่างหนึ่ง “ของแกล้มเบียร์น่ะครับ” เขาเอ่ย อาหารถูกนำมาเสิร์ฟในเวลาต่อมาและการเจรจาที่สำคัญก็เริ่มต้นขึ้น

 

อิเคดะเล่าเรื่องการค้นคว้าของเขาอย่างช้าสลับกับเรื่องราวของชีวิตเขาในเยอรมัน การพุ่งเป้าอวดอ้างในสิ่งที่ตนเองกระทำอย่างเดียวเป็นสิ่งที่อิเคดะคิดว่าปราศจากมารยาทอย่างยิ่ง ในขณะที่ซาบุโร่ซูเกะก็พูดถึงชีวิตที่ผ่านมาของเขาในวงการค้าข้าว แม้ว่าเขาจะทำมันได้ค่อนข้างดีแต่ก็อยากสร้างสิ่งใหม่หรือทางเลือกใหม่ให้กับสังคม

“ตอนนี้เรากำลังเริ่มต้นศตวรรษใหม่นะครับ ผมก็เลยอยากทำอะไรที่จริงจังและดูมีความหวังกว่านี้” อิเคดะพยักหน้ารับ ชายหนุ่มเบื้องหน้ามีอายุน้อยกว่าเขาเพียงสามปีแต่ก็ดูเป็นคนที่มีความตั้งใจจริงเอามากๆ “ปกติผมไม่ค่อยได้พบกับคนนอกวงการหรอกครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าด้วยกัน แต่การค้นคว้าของอาจารย์อิเคดะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ อีกอย่างผมไม่ชอบแต่งกายชุดสากลเอาเลย ยิ่งทำให้ไม่อยากเจอใครมากขึ้นไปอีก” อิเคดะดื่มซุปจนหมดในขณะที่ซาบุโร่ซูเกะจิบเบียร์ในขวดอย่างเพลิดเพลิน

พวกเขาจบมื้ออาหารในอีกชั่วโมงต่อมาพร้อมกับคำมั่นจากซาบุโร่ซูเกะว่าหลังปีใหม่เขาจะไปเยี่ยมอิเคดะที่ห้องทดลอง

“ผมคิดว่าตอนนั้นจากกรดกลูตามิกที่เรามีน่าจะผสมรสชาติที่ว่าออกมาได้แล้ว” ซาบุโร่ซูเกะก็จะใช้เวลานับจากนี้รวบรวมเงินทุนมาเพื่อสนับสนุนงานทดลองของอิเคดะและดูว่าจะสามารถสร้างเป็นธุรกิจได้หรือไม่ ทั้งคู่แยกกันที่หน้าร้านอาหาร ซาบุโร่ซูเกะต้องไปเยือนลูกค้าอีกที่หนึ่ง ส่วนอิเคดะมุ่งหน้ากลับห้องทดลองของเขาที่มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล

ระหว่างทางเดินกลับนั่นเองที่อิเคดะนึกขึ้นได้ว่ารสชาติจากซุปมัตซึตาเกะให้ความรู้สึกไม่ต่างจากซุปที่เขากินจากสาหร่ายคอมบุในคืนนั้นเลย