ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 พฤษภาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | หน้า8 |
เผยแพร่ |
ทันทีที่สิ้นเสียงระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติ
พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก็ยืนยันทันทีว่าไม่ใช่การวางระเบิด
พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลางตามมาอีกดอก
ย้ำว่าไม่มีเขม่าระเบิด
ก่อนสรุปว่าเสียงที่คล้ายระเบิดและทำให้คนบาดเจ็บนั้น คือ “ท่อแตก”
ใครที่ได้ฟังก็ได้แต่ยกมือพนมเปล่งเสียง “สาธุ” อย่างพร้อมเพรียงกัน
“กินข้าว” นะเฟ้ย ไม่ได้ “กินหญ้า”
ในที่สุดตำรวจก็ยอมรับว่าเสียงท่อแตกที่ดังสนั่นนั้นคือเสียงระเบิด
และชิ้นส่วนที่พบตรงกับที่เคยเกิดเหตุระเบิดที่หน้ากองสลากเก่า ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 5 เมษายน
ที่สำคัญวิธีการต่อระเบิดคล้ายกับที่พบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
…อาเมน ด้วยประการฉะนี้
แต่ผลที่ตามมาหลังจากการเบี่ยงประเด็นไปเรื่อง “ท่อแตก” ก็คือ “ความน่าเชื่อถือ” ของภาครัฐ
และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
ถ้าจำได้ ทุกครั้งที่เกิดเหตุระเบิดในเมืองกรุง หรือในจังหวัดสำคัญ
หน่วยงานความมั่นคงจะชี้นิ้วไปที่ “ทักษิณ ชินวัตร” หรือในนาม “กลุ่มอำนาจเก่า” ทุกครั้ง
ระเบิดที่ราชประสงค์ก็บอกว่า “อำนาจเก่า”
สุดท้ายก็เป็นกลุ่มอุยกูร์ที่โกรธแค้นเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน
ระเบิดที่เซ็นทรัล สมุย และโคออป สุราษฎร์ธานี
“โฆษกไก่อู” ชี้นิ้วทันที
“อำนาจเก่า”
ประเด็นที่รัฐบาลพยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุด คือ กลุ่มก่อการร้ายไอเอส
และกลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนใต้
เพราะเท่ากับยอมรับว่าสถานการณ์ชายแดนใต้บานปลาย
ผู้ก่อความไม่สงบ ขยายเข้ามาจังหวัดสำคัญในภาคใต้หรือในเมืองกรุง
ส่งผลสะเทือนถึงความเชื่อมั่นในรัฐบาล
เรื่องนี้เข้าใจได้
แต่ผลจากความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นครั้งแล้วครั้งเล่า
ย่อมทำให้ “ความน่าเชื่อถือ” ของหน่วยงานความมั่นคงลดน้อยลงเรื่อยๆ
ตรงตามหลักฟิสิกส์ “ความเชื่อ”
แรงตก เท่ากับ แรงสะท้อน
พูดไม่จริงบ่อยๆ
คนก็ไม่เชื่อ
เรื่องนี้ก็เข้าใจได้
…เช่นกัน