ครูบาศรีวิชัย : บารมีสงฆ์ในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เพิ่งสร้าง

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ข้อขัดแย้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของรัฐไทย กับพระภิกษุสักรูป คงจะหนีไม่พ้นกรณีคลาสสิคอย่างกรณีของ “ครูบาศรีวิชัย” (พระอินท์เฟือน สิริวิชโย) ที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่ประเทศไทยยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อมาจาก “สยาม” โน่นเลย

และถึงแม้ว่าสยามจะเป็นคำที่ถูกใช้เรียกดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและปริมณฑลรายรอบมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วก็เถอะ แต่สยามเมื่อครั้งกระโน้น ก็ไม่ได้มีเสื้อผ้าหน้าผมเหมือนอย่างประเทศไทยทุกวันนี้เอาเสียเลยสักนิด

สำคัญที่สุดก็คือ สยามในยุคโน้นยังไม่มีขอบเขตและดินแดนที่ชัดเจนเลยเสียหน่อย แถมประชากรทั้งหมดก็ไม่ได้รวมเข้าสู่ศูนย์กลาง เพราะยังจัดการคนกันด้วยระบบไพร่ (ซึ่งแปลว่ากำลังคนทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลวง ไพร่จำนวนมากเลยทีเดียวที่สังกัดเข้ากับมูลนาย และเป็นกำลังให้กับมูลนาย ไม่ใช่กับรัฐอย่างที่มักจะเข้าใจผิดกัน)

สยามเพิ่งมารวมศูนย์อำนาจได้อย่างจริงจังเมื่อสามารถเลิกไพร่ เลิกทาส (ซึ่งเป็นกระบวนการต่อเนื่องถึงกัน เพราะเป็นการนำกำลังคนทั้งหมดในแผ่นดินเข้ามารวมไว้กับหลวง ไม่ใช่แยกไปสังกัดมูลนายดังเดิม) และทำข้อตกลงในการปักปันเขตแดนทางซีกเทือกเขาพนมดงเร็ก กับฝรั่งเศสในชั้นต้นได้สำเร็จ อันทำให้ชนชั้นนำสยามทั้งหลายสามารถหลับตาพริ้ม แล้วนึกถึงดินแดนรูปขวานทองได้รางๆ เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2448 ตรงกับช่วงปลายของแผ่นดินรัชกาลที่ 5 เท่านั้นแหละ

และก็เป็นด้วยเหตุผลข้างต้นนี่เองนะครับ ที่ทำให้ “สยาม” กลายเป็นรัฐที่ปกครองด้วยระบอบ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” คือรวบอำนาจทุกอย่างเข้าสู่ศูนย์กลางคือ “กษัตริย์” โดยเบ็ดเสร็จสมบูรณ์เป็นครั้งแรก ไม่ใช่เป็นมาตั้งแต่อยุธยา หรือต้นกรุงเทพฯ ที่ปกครองกันแบบราชาธิปไตย

 

ครูบาศรีวิชัยเกิดเมื่อ พ.ศ.2421, บรรพชาเป็นสามเณรใน พ.ศ.2439, จากนั้นจึงค่อยบรรพชาเป็นพระภิกษุในเรือน พ.ศ.2442 และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2445

ซึ่งก็ตรงกับช่วงเปลี่ยนผ่านของสยามจากสยามเดิมมาเป็นสยามใหม่ที่ว่านี่แหละครับ

“บารมี” ของครูบาศรีวิชัยเป็นที่เลื่องระบืออย่างจงหนักขึ้นเรื่อยๆ ท่านงดเว้นการเสพหมาก เมี่ยง และบุหรี่โดยสิ้นเชิง เมื่ออายุได้ 26 ท่านก็เริ่มงดเว้นการฉันเนื้อสัตว์ ซ้ำยังฉันเพียงวันละมื้อเดียว โดยมักจะเป็นผักต้มที่ใส่เพียงเกลือและพริกไทย บางครั้งก็ไม่ฉันข้าวเป็นเวลานาน และงดเว้นการฉันผักบางชนิดอีกต่างหาก

แน่นอนว่าการที่ครูบาศรีวิชัยมีศีลาจารวัตรที่งดงามและเคร่งครัดอย่างนี้ ย่อมนำไปสู่ข่าวลือเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์อื่นๆ

ผู้คนในสมัยนั้นจึงได้มาขอให้ท่านอุปัชฌาย์ให้เป็นจำนวนมาก

และปัญหาก็เริ่มมาจากตรงนี้แหละครับ

 

ธรรมเนียมการบวชของล้านนาในสมัยนั้น ต่างจากปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะให้ความสำคัญกับระบบพระอุปัชฌาย์ อาจารย์กับศิษย์

พูดง่ายๆ ว่าพระอุปัชฌาย์หนึ่งรูปจะมีวัดอยู่ในการดูแลจำนวนหนึ่ง เรียกว่าเจ้าหมวดอุโบสถ โดยคัดเลือกจากพระที่มีผู้เคารพนับถือ ที่เรียกว่า “ครูบา”

ระดับครูบาศรีวิชัย ย่อมต้องอยู่ในตำแหน่งหัวหมวดพระอุปัชฌาย์แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งอยู่แล้ว ตามจารีตของล้านนาแล้วจึงมีสิทธิ์ที่จะบวชให้กับกุลบุตรได้ และด้วยบารมีของครูบาศรีวิชัยจึงทำให้มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ในขั้นมหาศาล จนแทบจะนับเป็นกองทัพย่อมๆ ได้เลยทีเดียว

ลองนึกดูง่ายๆ ก็ได้นะครับ “ล้านนา” ที่เพิ่งจะถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามอย่างเป็นออฟฟิเชียลได้ไม่กี่ปี อยู่ๆ ก็มีพระสงฆ์ผู้มากบารมี ที่มีคณะศิษยานุศิษย์มากมายอย่างกับเป็นกองทัพ ศูนย์กลางของรัฐที่ประเทศกรุงเทพฯ ซึ่งประกาศตนเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ณ ขณะจิตนั้น จะมัวแต่มานั่งมองตาปริบๆ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแน่

และไม่ว่าเหตุผลแท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม รัฐกรุงเทพฯ ก็ได้อ้างพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ.2446) ที่มีความตอนหนึ่งระบุว่า

“พระอุปัชฌาย์ที่จะบวชกุลบุตรได้ ต้องได้รับการแต่งตั้งตามระเบียบการปกครองของสงฆ์จากส่วนกลางเท่านั้น”

เจ้าคณะแขวงลี้ (แน่นอนว่าเป็นพระที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง และยึดโยงฐานันดรสงฆ์จากขั้วบางกอก) และนายอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ซึ่งวัดบ้านปางที่ครูบาศรีวิชัยเป็นเจ้าอาวาสตั้งอยู่ในนั้น จึงได้นำกำลังตำรวจเข้าจับกุมครูบาท่านเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2451 หลังปีที่สยามเลิกทาส และตกลงเบื้องต้นในการปักปันเขตแดนประเทศสยามระวางสุดท้ายเพียง 3 ปี

ด้วยข้ออ้างว่า ครูบาท่านบวชผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางรัฐ

ภาพครูบาศรีวิชัยเดินทางกลับจากในการสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ (ภาพจากประวัติย่อและผลงานของครูบาศรีวิชัย : สำนักพิมพ์ช้างเผือก)

จากนั้นจนถึง พ.ศ.2479 ครูบาศรีวิชัยก็มีปัญหาระหองระแหงกับรัฐส่วนกลางมาตลอด ด้วยมีการกักขังและปล่อยตัวท่านอยู่หลายครั้ง เนื่องด้วยข้อกล่าวหาที่ถึงไม่พูดตรงๆ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็น “ผู้มีอิทธิพล” ต่างหาก

เพราะในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว ครูบาท่านก็ได้แสดงศักยภาพบารมีของท่านด้วยการรื้อซ่อม-รื้อสร้างวัดและปูชนียสถานสำคัญของล้านนาเป็นจำนวนมาก โดยไม่จำเป็นต้องง้ออำนาจรัฐหรือเงินงบประมาณจากหลวงเลยแม้แต่สลึงเดียว

ที่สำคัญคือ การสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ซึ่งใช้เวลาเพียง 5 เดือน กับอีก 22 วัน โดยที่รัฐกรุงเทพฯ ไม่ได้มีส่วนร่วมเลยสักนิด แถมในระหว่างการสร้างทางนั่นเองที่มีเหตุพระสงฆ์ในล้านนารวม 90 วัด ขอลาออกจากการปกครองคณะสงฆ์ ไปขึ้นกับการปกครองครูบาศรีวิชัยแทน จนทำให้เกิดเหตุการคุมตัวครูบาท่านไปที่บางกอกเป็นครั้งสุดท้าย

และเอาเข้าจริงก็ไม่มีใครตอบได้ชัดๆ หรอกว่า ครูบาท่านไม่รู้กฎหมายจริงๆ หรือเป็นการอารยะขัดขืนต่อรัฐกรุงเทพฯ ของท่าน จึงทำให้ท่านถูกจับ-ปล่อยๆ อยู่อย่างนี้

ยิ่งข้อเท็จจริงที่สำคัญอีกอย่างก็คือ การที่ล้านนาก็เพิ่งถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามก็ในช่วงชีวิตของท่าน อย่างที่บอกเอาไว้แล้วข้างต้น

 

ในส่วนของรัฐเองก็เป็นที่เข้าใจได้นะครับว่า ทำไมจึงต้องพยายามสอดส่องครูบาศรีวิชัยเสียอย่างจงหนัก ก็รัฐในยุคนั้นยังมีตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ที่ไม่ไกลนัก ให้เห็นถึงกรณีของพระสงฆ์ที่มากบารมีจนพอที่จะรัฐเป็นของตนเองอย่างกรณีเจ้าพระฝาง เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก หรือเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (ญาครูขี้หอม) ที่อพยพลูกศิษย์จากเวียงจันทน์ 3,000 คน ไปสร้างเมืองจำปาสักในช่วงร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ซ้ำร้ายล้านนาในยุคนั้นมีการจำแนกพระสงฆ์ตามจารีตท้องถิ่นออกถึง 18 นิกาย โดยแต่ละนิกายก็เกี่ยวพันกับชนชาติต่างๆ ที่ไม่ใช่ไทยให้อีกเพียบ เช่น นิกายขีน (ไทยขีน/ไทยเขิน) นิกายยอง (มาจากเมืองยอง) นิกายเชียงใหม่ เป็นต้น และครูบาศรีวิชัยก็ยึดถือปฏิบัติตามแนวนิกายเชียงใหม่ผสมนิกายยอง ไม่ใช่พุทธมหานิกาย หรือธรรมยุติกนิกายอย่างบางกอกอีกต่างหาก

เอาเข้าจริงแล้ว แม้แต่ในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เต็มรูปแบบ ที่รวบอำนาจทุกอย่างเข้าสู่ศูนย์กลาง ก็ไม่สามารถปกครองทุกอย่างโดยสมบูรณ์ เพราะอำนาจไม่ได้มีแต่ “hard power” แต่ยังมี “soft power” ด้วย ซึ่งในกรณีนี้คือ “บารมี” ของครูบาศรีวิชัย แต่นอกเหนือจากบารมีของสงฆ์แล้ว ในสังคมไทยก็ยังมี soft power ที่เป็นพลังทางสังคมวัฒนธรรมอื่นๆ อยู่อีกมาก ไม่ได้มีเฉพาะเพียงแค่บารมีสงฆ์