เศรษฐกิจ / เก็งกำไรหุ้น-ทอง โค้งสุดท้ายปี 2563 หาเงินกิน-เที่ยวปีใหม่ ได้หรือไม่คุ้มเสีย?

เศรษฐกิจ

 

เก็งกำไรหุ้น-ทอง โค้งสุดท้ายปี 2563

หาเงินกิน-เที่ยวปีใหม่

ได้หรือไม่คุ้มเสีย?

 

ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงไม่แพ้ชาติใดในโลก

สัดส่วนผู้มีรายได้น้อย หรือกลุ่มคนฐานรากในระดับต่ำสุดมีกว่า 40% ของประชากรในประเทศ

และส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในอาชีพเกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า แรงงานก่อสร้าง

ซึ่งต้องยอมรับว่า การหารายได้ยังเป็นแบบค่าแรงวันต่อวัน ทำให้การต่อสู้เพื่อหาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ถือเป็นงานที่ยาก เปรียบเทียบกับการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน

ทุกวันนี้ แม้แต่มนุษย์เงินเดือน เจอภาวะรายรับไม่พอรายจ่าย เพื่อใช้เป็นค่าผ่อนบ้าน จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าการเดินทางประจำวัน และค่ากินค่าใช้ต่างๆ รายวัน แม้มนุษย์เงินเดือนเองก็ยังวิตกต่อการปรับตัวขององค์กรเพื่อการพยุงธุรกิจ คิดการจ้างงานเป็นรายชั่วโมง จ้างทำงานเท่าที่จำเป็น แทนการเลิกจ้าง อีกทั้งอัตราการว่างงานยังมีต่อเนื่อง ตราบใดที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่เบาบางลง หรือเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในไทยยังไม่เห็นได้ชัดว่าจะยุติได้อย่างไร เมื่อไร

รัฐบาลเองก็รับรู้ถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งพรวด เสี่ยงตกงาน ธุรกิจที่ยังประคองตัวเองได้ด้วยเงินทุนเดิมเริ่มส่งสัญญาณแย่ลงๆ จึงเร่งรัดออกมาตรการกระตุ้นใช้จ่าย โดยหวังดึงเงินคนมีรายได้ระดับปานกลาง มาผสมกับเงินที่รัฐสมทบจากโครงการคนละครึ่งบ้าง ช้อปดีมีคืนบ้าง เราเที่ยวด้วยกันบ้าง

เพราะรู้ว่ากว่าเศรษฐกิจจะฟื้นอีกครั้งคงต้องใช้เวลาหลังจากเปิดประเทศอีก 3-4 เดือน ซึ่งถึงวันนี้เปิดประเทศก็ยังไม่ได้ข้อสรุป

 

ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยน่าจะยังทรงตัวระดับต่ำ ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กลางสัปดาห์ก็ชี้ได้ชัดเจนว่าทิศทางเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร!!

เมื่อรายได้ดอกผลที่ได้จากเงินฝากหรือปล่อยกู้ลดลงทั้งจากจำนวนและวงเงินที่ลดลง การแสวงหาแหล่งลงทุนสินทรัพย์จึงเป็นทางเลือกแรก

2 เครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไร คือการเก็งกำไรในตลาดหุ้น และการค้าทองคำ

เพราะ 2 ตลาดสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ลงทุนได้

แต่มีข้อจำกัดการเข้าถึง เนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดทองคำ ผู้ลงทุนจะต้องมีการศึกษาหาข้อมูล และมีองค์ความรู้อยู่ในมือ ก่อนทำการลงทุนในตลาดใดตลาดหนึ่ง

ส่วนนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้การเข้าตลาดลงทุนไทยจากผู้ลงทุนรายย่อยทำได้ยาก เพราะหากไม่มีความรู้ความเข้าใจที่มากพอ ก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ

คำนิยามของนักลงทุนรายย่อย คือ เป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดด้วยเงินทุนไม่มากเท่านักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ

และจำเป็นต้องติดตามทิศทางของตลาดหุ้นหรือตลาดทองคำด้วยตัวเอง

 

ตลาดหุ้นไทยและทองคำไทย ถือว่ามีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน นอกจากการใช้เงินลงทุนที่แตกต่างกันแล้ว ปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยสนับสนุน และจังหวะในการเข้าลงทุนก็แตกต่างกัน

เนื่องจากตลาดหุ้นไทยจะปรับระดับขึ้นได้ดีก็ต่อเมื่อ ภาพรวมเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น ความเสี่ยงในปัจจัยต่างๆ และมีปัจจัยบวกสนับสนุนการไต่ระดับขึ้นของดัชนี อาทิ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือจีดีพี ทั้งของไทย และประเทศผู้นำเศรษฐกิจใหญ่ๆ ประกาศออกมาอยู่ในทิศทางที่ดี การส่งออกหรือการท่องเที่ยวเป็นไปด้วยดี หากเป็นแบบนี้ตลาดหุ้นไทยจะมีความน่าลงทุนมากขึ้น เพราะจะเป็นขาขึ้นแค่ทางเดียว

แต่ในทางกลับกัน เมื่อมีความเสี่ยงในตลาดหุ้นไทย ก็ยังน่าลงทุนอยู่ เนื่องจากสามารถทำกำไรได้ หากมีจังหวะการเข้าลงทุนและออกจากตลาดที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องบอกต่อ “ปากต่อปาก”

ช่วง 10 เดือนของปี 2563 ที่ผ่านมา จะพบว่าตลาดหุ้น ราคาทองคำ จะผันผวนขึ้นลงทุบสถิติอีกรอบ แม้ก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่คนหวังทำเงินเพื่อใช้จ่ายในช่วงปีใหม่นี้

ซึ่งทิศทางเป็นอย่างไร ต้องมาฟังกูรูผู้รู้!!

 

ชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยโค้งสุดท้ายของปี 2563 ทิศทางยังมีความน่าสนใจอยู่ เนื่องจากดัชนีปรับตัวลดลงมาก เทียบตลาดอื่นในภูมิภาคเอเชียด้วย ยังปรับขึ้นได้อีกหรือค่อนข้างอันเดอร์เฟอร์ฟอร์ม

โดยที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงแรงกว่า 25% ก่อนดีดขึ้นได้เกือบ 5% ในช่วงแรงส่งจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จนได้ผู้ชนะเป็นนายโจ ไบเดน และกระแสข่าวดีการทดลองวัคซีนต้านโควิดคืบหน้า หลังจากตลาดหุ้นไทยลดลงรุนแรงก่อนหน้านั้น เมื่อเกิดสถานการณ์ระบาดโควิด-19 รอบ 2 ในหลายประเทศ และอัตราการติดเชื้อรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง

อีกปัจจัยกดดันเฉพาะตัว จนถึงวันนี้ คือ หวั่นไหวต่อเสถียรภาพทางการเมืองและความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย ที่จะเป็นแรงกดดันตลาดเป็นระลอกๆ จะฉุดดัชนีลดลงหรือเพิ่มขึ้นแค่ไหน อยู่ที่เหตุการณ์ชุมนุมในช่วงนั้นๆ ส่งแรงกระเพื่อมแค่ไหน ขณะที่มีความหวังในระยะถัดไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะทยอยออกมา หวังฟื้นเศรษฐกิจ พยุงโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อดึงดูดการลงทุนของต่างชาติว่าไทยยังเป็นประเทศน่าลงทุนเทียบกับประเทศในอาเซียน

แต่อย่างไรก็ตาม ยังให้น้ำหนักที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการด้านการเมืองให้นิ่งขึ้นได้แค่ไหน จะเพิ่มโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้ามาในตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้น

ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยจากนี้ถึงปลายปี 2563 เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยสามารถปรับขี้นได้ที่ระดับ 1,300-1,350 จุด วงเงินซื้อขายหลายหมื่นล้านบาทต่อวัน

“ปี 2564 คาดว่าดัชนีหุ้นไทยสามารถทำจุดสูงสุดระดับ 1,700 จุด เนื่องจากในปี 2563 ฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งจากการระบาดโควิด-19 ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวสูงขึ้นของหนี้เสีย (เอ็นพีแอล)”

“แต่ปี 2564 เชื่อว่าภาพเหล่านี้จะลดน้อยลง และผ่านจุดวิกฤตต่ำสุดไปแล้ว เนื่องจากคาดว่าปี 2564 จะมีวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 แล้วและใช้งานได้อย่างแน่นอน ส่งผลทันทีต่อภาคการท่องเที่ยวให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ประกอบกับไทยเริ่มต้นเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินำร่องแล้ว จึงประเมินว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ปี 2564 จะไม่แย่ไปกว่าปีนี้แน่นอน”

 

หันมาดูตลาดทองคำ ปัจจัยความเสี่ยง ตั้งแต่การแพร่ระบาดโควิด-19 ความไม่แน่นอนว่าจะจบลงได้ในช่วงใด ภาวะเศรษฐกิจที่เข้าสู่การถดถอย และผลกระทบจากเรื่องต่างๆ ซึ่งในปีนี้ ณ วันที่ 7 สิงหาคม 2563 ราคาทองคำแท่งพุ่งไปทำสถิติสูงสุดถึง 30,400 บาทต่อ 1 บาททองคำ ขณะที่ราคาทองรูปพรรณทะยานถึง 30,900 บาทต่อบาททองคำ

ถือเป็นราคาสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนค่อยๆ ปรับฐานลดลง

และร้อนแรงอีกครั้งเมื่อมีข่าวค้นพบวัคซีนต้านไวรัสออกมา นักลงทุนเทขายหันลงทุนสินทรัพย์อื่นๆ อย่างรุนแรง ทำให้ช่วงวันที่ 9-10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับร่วงลงแรงกว่า 2,000 บาทต่อบาททองคำ จากทองคำโลกเทขายร่วง 100 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เพียงข้ามคืน และส่งผลถึงค่าเงินบาทแข็งค่ารวดเร็ว ฉุดราคาทองแท่งไทยร่วงหนักจากบาทละ 29,200 บาท มาเหลือ 27,000 บาทต่อบาททองคำ เพียงแค่ 2 วัน ถือว่าเป็นราคาลงที่รุนแรงสุดในรอบ 1 ปีนี้

แต่อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ตลาดเงินตลาดทุน ต่างก็เห็นพ้องว่า อย่างไรราคาทองคำจะกลับมาปรับขึ้นอีกครั้ง เพราะทองคำถือเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด พร้อมฟันธงช่วงต้นปี 2564 ราคาทองคำในบ้านเราจะปรับแตะ 30,000 บาทต่อบาททองคำได้อีกครั้ง

และเมื่อย้อนดูสถิติการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดทองคำ ก็จะพบว่ายิ่งใกล้ปีใหม่ราคาจะยิ่งดีขึ้น ถือเป็นช่วงพีกของการลงทุน คิดว่าเป็นสัดส่วนเกือบ 1/3 ของมูลค่าทั้งปีก็ว่าได้ เพื่อหาเงินก่อนหยุดยาวเที่ยวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ถือเป็นทิ้งทวนของปีนั้นๆ

ก็เชื่อว่า “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ยอมเสี่ยงฝ่าวิกฤตโควิด-19 และม็อบการเมืองไทย!!!