สู่ความขัดแย้งระลอกใหม่ ที่ไม่มีใครเคยเจอ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ประเทศไทยหลังวันที่ 13 ตุลาคม เป็นประเทศที่ประชาชนเดินขบวนขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากตำแหน่งนายกฯ ทุกวัน และอย่างที่คนทั้งประเทศรับรู้โดยทั่วกัน รอบนี้การชุมนุมยิ่งนานยิ่งขยายตัว ส่วนผู้ชุมนุมพื้นที่ต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนการชุมนุมเต็มไปด้วยภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ

เยาวชนกลุ่มปลดแอกเริ่มจัดชุมนุมครั้งแรกในวันที่ 18 กรกฎาคม โดยลิ่วล้อนายกฯ เหยียดหยามว่าเป็น “ม็อบมุ้งมิ้ง”, “ม็อบฟันน้ำนม” และ “ม็อบวูบวาบ”

แต่การชุมนุมที่เกิดขึ้นติดต่อกันสามเดือนสะท้อนว่าลิ่วล้อนายกฯ พูดผิด และ พล.อ.ประยุทธ์กำลังเจอม็อบต่อต้านที่ใหญ่ที่สุดที่ประเทศเคยมี

การชุมนุมในกรุงเทพฯ หลังวันที่ 13 ตุลาคม มีประชาชนเข้าร่วมมหาศาลจนเกิดภาพชุมนุมที่เหลือเชื่ออย่างต่อเนื่อง

ผู้ชุมนุมยึดพื้นที่หน้าทำเนียบในวันที่ 14 ตุลาคม โดยไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้

จากนั้นมีการชุมนุมที่ราชประสงค์, ห้าแยกลาดพร้าว, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฯลฯ ที่ทำลายสถิติตัวเองลงไปทุกวัน

แน่นอนว่าการชุมนุมของประชาชนจาก 18 กรกฎาคม ถึง 13 ตุลาคม สะท้อนการขยายตัวของคนที่ไม่เอาระบอบเผด็จการ

แต่การชุมนุมหลังวันที่ 13 ตุลาคม สะท้อนว่านอกจากคนที่ไม่เอาเผด็จการจะขยายตัว คนที่กล้ารวมตัวเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนก็มากจนน่าอัศจรรย์

13 ตุลาคม คือจุดเริ่มต้นของการสลายการชุมนุม 3 ครั้งใน 3 วัน นั่นคือวันที่ 13 ตุลาคม ตำรวจนับร้อยรุมจับ “ไผ่ ดาวดิน” และพวก, วันที่ 15 ตุลาคม ใช้ตำรวจนับพันจับอานนท์ นำภา, เพนกวิน และสลายการชุมนุมหน้าทำเนียบ และวันที่ 16 ตุลาคม ใช้ตำรวจตระเวนชายแดนพร้อมโล่สลายการชุมนุมเด็กมัธยมที่สี่แยกปทุมวัน

การชุมนุมที่เกิดขึ้นต่อเนื่องหลังรัฐบาลสลายการชุมนุมคือหลักฐานแห่งความไม่กลัวเผด็จการ ยิ่งกว่านั้นคือการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีวันที่ 26 ตุลาคม มีประชาชนรวมตัวแน่นถนนสาทรสองฝั่งซึ่งยาวกว่าราชดำเนินเยอะ ทั้งที่ผู้มีอำนาจเพิ่งส่งสัญญาณปลุกปั่นมวลชนบางกลุ่มให้ทำร้ายประชาชน

ภาพประชาชนเดินขบวนยื่นหนังสือถึงสถานทูตเยอรมนีวันที่ 26 ตุลาคม สะท้อนความรู้สึกแห่งยุคสมัยและแนวโน้มที่ประเทศจะเดินต่อไปในอนาคต

เพราะมวลชนที่ล้นทะลักถนนสาทรคือมวลชนที่ต้องการส่งสัญญาณว่าพร้อมจะปกป้องไม่ให้ผู้มีอำนาจปลุกม็อบชนม็อบเพื่อเข่นฆ่าประชาชน

ประเทศไทยหลังวันที่ 13 ตุลาคม ถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศแห่งความรุนแรงของรัฐต่อประชาชน

แต่ประเทศไทยหลังวันที่ 26 ตุลาคม ถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศใหม่ซึ่งประชาชนแสดงออกอย่างแรงกล้าว่าจะไม่ยอมให้มีการทำร้ายประชาชนอีก ไม่ว่าจะโดยไปร่วมชุมนุมตรงๆ หรือเพิกเฉยต่อการปลุกระดม

การชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีเกิดขึ้นท่ามกลางรัฐที่แสดงออกอย่างแรงกล้าว่าจะปั่นม็อบชนม็อบเพื่อปราบประชาชน ส.ส.และวุฒิสมาชิกกลุ่มสายตรง พล.อ.ประยุทธ์ใช้การประชุมสภาวิสามัญวันที่ 26-27 ตุลาคม โจมตีผู้ชุมนุมด้วยเรื่องสถาบันแบบไม่ยั้ง ส่วนมวลชนนอกสภาก็ถูกปลุกปั่นด้วยเรื่องเดียวกัน

ขณะที่ ส.ส.พลังประชารัฐอย่างคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ใช้สภาโจมตีผู้ชุมนุมเป็นพวกสาธารณรัฐล้มสถาบัน ส.ว.สมชาย แสวงการ ก็โจมตีว่าผู้ชุมนุมมีองค์กรลับบงการเพื่อเปลี่ยนประเทศเป็นฐานยิงขีปนาวุธต่างชาติ

ส่วนนอกสภาก็มีคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์, อดีตพุทธะอิสระ ฯลฯ ที่ปั่นกระแสว่าพร้อมใช้กำลังกับคนที่ตัวเองถือว่าล้มสถาบัน

โดยปกตินั้นรัฐดำรงอยู่เพื่อปกป้องทรัพย์สิน, ปกป้องชีวิต และปกป้องเสรีภาพของประชาชน แต่รัฐไทยที่มี พล.อ.ประยุทธ์ตั้งตัวเองเป็นนายกฯ คือรัฐที่เป็นภัยคุกคามประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเปิดประชุมสภาเพื่อใช้สภาเป็นเครื่องมือปลุกม็อบคู่ขนานกับปั่นมวลชนนอกสภา

ด้วยการจัดชุมนุมหน้าสถานทูตวันที่ 26 ท่ามกลางกระแสสูงของการปราบปรามที่กลับมีผู้ชุมนุมล้นหลามกว่าทุกครั้ง

สารที่ผู้ชุมนุมสื่อถึงรัฐคือการปราบปรามรอบนี้จะทำให้รัฐเป็นศัตรูกับประชาชนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

และที่สำคัญกว่านั้นผู้ชุมนุมมหาศาลไม่กลัวที่จะเผชิญหน้าอำนาจรัฐเลย

คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่มีอำนาจโดยปราศจากความชอบธรรมทางการเมือง และต่อให้คุณประยุทธ์จะตั้งตัวเองเป็นนายกฯ แล้วกำจัดคนที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามมาตลอดเจ็ดปี คุณประยุทธ์กลับไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างความชอบธรรมด้านอื่นให้ประชาชนยอมรับได้แม้แต่นิดเดียว

เผด็จการไทยเหมือนเผด็จการทั่วโลกในแง่เป็นระบอบที่ไร้ความชอบธรรมทางการเมือง แต่เล่ห์เหลี่ยมที่เผด็จการไทยกลบเกลื่อนความไม่ชอบธรรมได้แก่ การอ้างคุณธรรมหรือความสามารถ หรือสั้นๆ คือหลอกลวงว่าปกครองโดยใช้กระบอกปืนจ่อหัวประชาชนก็ได้ ถ้าปืนอยู่ในมือคนเก่งและดี

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ ที่ไม่เคยลงเลือกตั้งจนไม่เคยเข้าทำเนียบในฐานะผู้นำพรรคที่ชนะเลือกตั้งเลย แต่ พล.อ.เปรมเป็นนายกฯ จาก 2523-2531 เพราะคนเชื่อว่า พล.อ.เปรมเป็นคนดี และ พล.อ.เปรมก็เป็นนายกฯ ในเวลาที่เศรษฐกิจไทยดีจนทำให้คนไม่อยากว่าเรื่องไม่มีความชอบธรรมทางการเมือง

คุณประยุทธ์แสดงออกตั้งแต่ยึดอำนาจว่าอยากเป็นนายกฯ โดยประชาชนไม่ได้เลือกอย่าง พล.อ.เปรม แต่คุณประยุทธ์ไม่ใช่ พล.อ.เปรม ไม่มีใครมองคุณประยุทธ์เป็นสัญลักษณ์ของความดี เพราะสังคมมองคุณประยุทธ์ก่อนปี 2557 เป็นนายพลที่สุดโต่งพอจะยึดอำนาจตามใจชนชั้นนำเท่านั้นเอง

คุณประยุทธ์ปกครองประเทศโดยลากคนเห็นต่างเข้าคุกตั้งแต่รัฐประหาร, กดดันจนบางคนต้องหนีออกนอกประเทศ, ใช้กฎอัยการศึกกดหัวไม่ให้รวมตัวเกินห้าคน, ส่งตำรวจ ทหารไล่ล่าคนที่วิจารณ์รัฐบาลแทบทั้งหมด ฯลฯ ซึ่งมีแต่การใช้อำนาจข่มขู่ประชาชนจนไม่มีคุณสมบัติของความเป็นคนดี

ไม่มีมุมไหนในตัวคุณประยุทธ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้นำที่ทรงคุณธรรม ไม่ต้องพูดถึงความสามารถของคุณประยุทธ์ที่เละจนคนไทยแค่มองตาก็รู้ใจแล้ว

เจ็ดปีของคุณประยุทธ์จึงเป็นเจ็ดปีที่ความไม่ชอบธรรมทางการเมืองควบแน่นกับความไร้คุณธรรมและไร้ความสามารถจนไม่มีใครนับถือเลย

คุณประยุทธ์ปกครองประเทศด้วยความหวาดกลัว แต่ความเป็นตัวคุณประยุทธ์ทำให้ยิ่งนานคนยิ่งรู้สึกว่าปล่อยคนแบบนี้เป็นผู้นำประเทศไม่ได้ คนรุ่นเก่าไม่เชื่อว่าคุณประยุทธ์เก่งหรือดี คนรุ่นใหม่ไม่เชื่อว่าคุณประยุทธ์ทำให้ประเทศมีอนาคต ผลคือการไล่คุณประยุทธ์เป็นวาระแห่งชาติโดยปริยาย

คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิดอะไร และประชุมสภาวิสามัญก็ผ่านไปโดยคุณประยุทธ์ไม่รับผิดชอบที่ทำประเทศวิกฤตจนคนเดินขบวนโดยไม่กลัวถูกปราบ คำพูดที่คุณประยุทธ์พูดมากคือทวงบุญคุณที่ยึดอำนาจ

ส่วนลิ่วล้อก็ดีแต่พูดว่าการไม่มีประยุทธ์เป็นนายกฯ คือล้มสถาบัน

ความตื่นตัวของนักศึกษา-ประชาชนเพื่อขับไล่เผด็จการในปี 2563 เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยมีในสังคมไทย การชุมนุมทั้งหมดเดินหน้าโดยไม่มีแกนนำ ไม่มีพรรคการเมือง ซ้ำยิ่งอำนาจรัฐคุกคาม ประชาชนยิ่งออกมารวมตัวกันกว้างขวางจนไม่มีทางที่รัฐจะปราบหรือปฏิเสธการรับฟังได้เลย

สูตรสำเร็จของรัฐไทยเวลาประชาชนลุกฮือคือการยัดข้อหาแล้วปราบประชาชน แต่ด้วยความเสื่อมถอยของคุณประยุทธ์และเครือข่าย คงมีแต่คนขาดสติที่เห็นว่าควรฆ่าคนในประเทศเป็นพันๆ เพื่อให้คุณประยุทธ์และพวกอยู่ในอำนาจได้ต่อ เพราะระบอบประยุทธ์ไม่มีตรงไหนที่ให้อะไรประชาชน

เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ฝ่ายต้านประชาธิปไตยล้างภาพนายพลไร้ความสามารถเป็น “ลุงตู่” ใจดี คุณประยุทธ์เวลานี้มีกองหนุนแค่คนแบบคุณปารีณา ไกรคุปต์, คุณเสรี สุวรรณภานนท์, คุณสมชาย แสวงการ, คุณไพบูลย์ นิติตะวัน, พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา, อุ๊ หฤทัย ฯลฯ ซึ่งคนในสังคมให้ความเชื่อถือน้อยจนไม่สามารถให้ความชอบธรรมคุณประยุทธ์ได้เลย

คุณประยุทธ์คือผู้นำที่ใกล้จะถึงกาลอวสานทางการเมือง และอย่างเดียวที่คุณประยุทธ์ใช้ในเวลานี้คือดึงทุกสถาบันมาเป็นนั่งร้านให้คุณประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ ต่อไม่มีวันจบ แต่องค์ประกอบทุกอย่างของระบอบประยุทธ์เสื่อมจนไม่มีใครอุ้มต่อไปได้ และยิ่งอุ้มก็จะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อมที่พังทั้งยวง

ประเทศไทยกำลังเกิดการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะแก้อย่างไร ความขัดแย้งทางการเมืองรอบนี้เป็นสถานการณ์ใหม่ซึ่งไม่มีใครในประเทศเคยพบเคยเห็น

ทางออกที่ง่ายที่สุดจึงได้แก่การเอาคุณประยุทธ์ออกไปเพื่อชะลอความยุ่งยาก ไม่ใช่ใช้ทุกสถาบันโอบอุ้มคุณประยุทธ์จนทุกสถาบันพัง