ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ปล่อยประยุทธ์ปิดฉากดีกว่ากวาดล้างประชาชนเพื่อระบอบนี้

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

สามเดือนของการต่อต้านรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมในรูป “กลุ่มปลดแอก” กำลังจะเข้าสู่สถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ความพยายามจัดเวทีชุมนุมสิบสี่ตุลาทำให้รัฐบาลสลายการชุมนุมสามครั้งในวันที่ ๑๓-๑๖ แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นฝันร้ายของรัฐบาล

โดยปกติแล้วการสลายการชุมนุมมักทำให้ประชาชนกลัวจนไม่กล้ากลับมารวมตัวกัน แต่ทั้งที่การสลายที่ถนนราชดำเนินวันที่ ๑๓ , ทำเนียบรัฐบาลวันที่ ๑๕ และแยกปทุมวันในวันที่ ๑๖ เกิดขึ้นโดยรัฐบาลอ้างเรื่องอ่อนไหวต่างๆ ผลที่ได้คือประชาชนสู้ไม่ถอยจนไม่แสดงความกลัวแม้แต่นิดเดียว

จากวันที่ ๑๓ ซึ่งรัฐบาลเริ่มจับไผ่ดาวดินจนถึงวันที่ ๑๖ ที่ใช้ตำรวจตระเวนชายแดนติดโล่ห์และกระบองสลายการชุมนุมเด็กมัธยม ผลลัพธ์ของการสลายทุกครั้งกลับนำมาซึ่งจำนวนประชาชนที่รวมตัวกันแน่นขนัดมากขึ้นและมากขึ้นมาตลอดหนี่งสัปดาห์

การจับไผ่วันที่ ๑๓ ทำให้คนชุมนุมแน่นจนชุมนุมหน้าทำเนียบได้ในวันที่ ๑๔ การสลายการชุมนุมในเช้าวันที่ ๑๕ ทำให้คนออกมารวมตัวกันแน่นแยกราชประสงค์ในเย็นวันที่ ๑๕ และการใช้ตำรวจปราบจลาจลสลายนักเรียนและประชาชนที่ไม่มีอะไรป้องกันตัวเองทำให้รัฐบาลหายนะจนปัจจุบัน

ประชาชนไม่พอใจพลเอกประยุทธ์ด้วยเหตุผลต่างกัน บางคนไม่พอใจเพราะทำลายประชาธิปไตย บางคนไม่พอใจการบริหารเศรษฐกิจห่วย แต่ด้วยการใช้ตำรวจปราบจลาจลในชุดเกราะพร้อมโล่ห์และกระบอง คนจำนวนมากรังเกียจพลเอกประยุทธ์ที่ความลุแก่อำนาจของในตัวพลเอกประยุทธ์เอง

ถ้าพลเอกประยุทธ์ในวันแรกที่รัฐประหาร ๒๕๕๗ มีปัญหาเรื่องวิกฤตความชอบธรรม พลเอกประยุทธ์ตลอด ๒๕๕๗-๒๕๖๒ ก็มีปัญหาเรื่องวิกฤติด้านความสามารถของการเป็นผู้บริหารประเทศ และพลเอกประยุทธ์ในเวลานี้มีปัญหาเรื่องวิกฤตทางศีลธรรมและคุณธรรมของผู้ปกครอง

เมื่อเทียบกับสถานการณ์หลังรัฐประหารที่คนบางกลุ่มหนุนพลเอกประยุทธ์เพราะไม่ชอบอดีตนายกยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย พลเอกประยุทธ์ในปี 2563 เผชิญสถานการณ์ใหม่ที่แทบไม่มีคนกลุ่มไหนประกาศตัวหนุนเป็นนายกอีก ยกเว้นกาฝากการเมืองที่หวังเกาะพลเอกประยุทธ์ไปตลอดกาล

เครือข่ายพลเอกประยุทธ์เกณฑ์ข้าราชการเพื่อสกัดไม่ให้นักศึกษาประชาชนรวมตัววันที่ ๑๔ ตุลา จนถึงขั้นใช้ข้อมูลเท็จในเรื่องอ่อนไหวปลุกปั่นคนกลุ่มต่างๆ แต่ด้วยปริมาณประชาชนที่มาชุมนุมแน่นแยกราชประสงค์และทั่วไทยหลังจากนั้น ยุทธการโฆษณาชวนเชื่อแทบไม่มีผลต่อการชุมนุมเลย

เจ็ดปีของพลเอกประยุทธ์คือเจ็ดปีที่พลเอกประยุทธ์ตั้งพวกพ้องดำรงตำแหน่งสาธารณะจนประเทศเป็นของ “พวกประยุทธ์” ทั้งหมด พลเอกประยุทธ์คุมฝ่ายนิติบัญญัติด้วย 250 ส.ว. คุมฝ่ายบริหารผ่านพลังประชารัฐ คุมความมั่นคงโดยคุมทหารและตำรวจ และคุมข้าราชการโดยคุมมหาดไทย

พลเอกประยุทธ์ครอบครองประเทศให้อยู่ภายใต้ “ระบอบประยุทธ์” ซึ่งจะทำให้พลเอกประยุทธ์และพวกยึดครองประเทศไปตลอดกาล แต่จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังวันที่ ๑๔ ตุลา ระบอบประยุทธ์ที่อาจเป็นรองด้านความแข็งแกร่งแค่น้อยกว่าใบหน้าพลเอกประยุทธ์กำลังพังพินาศลงมา

หัวใจของ “ระบอบประยุทธ์” คือการทำให้ “พวกประยุทธ์” ควบคุมประเทศผ่านการควบคุมระบบราชการ แต่ทันทีที่ระบอบนี้เผชิญความเคลื่อนไหวของกลุ่มปลดแอกและขบวนการที่ไม่มีแกนนำตั้งแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม ระบอบนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มีต้นทุนด้านความชอบธรรมหลงเหลือเลย

คุณประยุทธ์คุมทหารและตำรวจเพื่อใช้ทหารและตำรวจควบคุมประชาชนให้อยู่ใต้คุณประยุทธ์ไปตลอดกาล แต่ขบวนการปลดแอกและความเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่ไม่มีรัฐหนุนหลังเลยกลับระดมพลังทางสังคมมาต่อกรกับ “ระบอบประยุทธ์”ได้ในแบบนี้ที่มาไกลที่สุดที่ระบอบนี้จะปิดฉากลง

นาสังเกตว่าขณะที่ “ระบอบประยุทธ์” ต่อสู้กับคนในชาติโดยใช้กลไกรัฐทุกอย่างเป็นเครื่องมือ กลุ่มปลดแอกและความเคลื่อนไหวที่ไร้แกนนำหลังวันที่ ๑๖ กลับต่อสู้กับระบอบประยุทธ์โดยไม่มีทรัพยากรอะไรเลย และแม้แต่การชุมนุมของคนเหล่านี้หลังวันที่ ๑๖ ไม่มีแม้เครื่องเสียงด้วยซ้ำไป

“ระบอบประยุทธ์” เข้าใจว่าหัวใจของการปกครองคือการควบคุมคนด้วยการใช้กำลัง แต่ปฏิบัติการปลดแอกของนักเรียนนักศึกษาและประชาชนกลุ่มต่างๆ ชี้ว่าความสำเร็จของระบอบการปกครองคือต้องเอาชนะทางอุดมการให้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ “ระบอบประยุทธ์” ไม่สามารถทำได้เลย

“ระบอบประยุทธ์” มีอำนาจโดยปลุกปั่นวาทกรรมปฏิปักษ์ประชาธิปไตยประเภทเครือข่ายประยุทธ์รักสถาบันจนเป็นคนดีที่ต้องปกครองประเทศผ่านข้าราชการดีๆไปตลอดชาติ แต่เจ็ดปีใต้ระบอบนี้คือเจ็ดปีที่ทำให้ประชาชนตาสว่างว่า “คนดี” หรือ “ข้าราชการดี” คือวาทกรรมลวงโลกเท่านั้นเอง

ด้วยวิธีปกครองที่กำจัดฝ่ายตรงข้ามและต่อต้านการตรวจสอบโดยกลไกรัฐและประชาชน “ระบอบประยุทธ์” กลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอำนาจที่ฉ้อฉลจนประเทศเป็นเสมือนทรัพย์สินของเครือข่ายประยุทธ์ไปแทยทั้งหมดจนการอ้างเรื่อง “คนดี” หรือ “ข้าราชการดี” ไม่มีความหมายอะไรอีกเลย

“ระบอบประยุทธ์” พยายามใช้อุดมการณ์หลักของชาติเป็นเครื่องมือในการจรรโลงอำนาจตัวเอง เจ็ดปีภายใต้พลเอกประยุทธ์จึงเป็นเจ็ดปีที่ประเทศมีนายกซึ่งโจมตีคนในชาติว่าขายชาติ-ทำลายศาสนา-ล้มล้างสถาบัน ฯลฯ เพื่อปกป้องไว้ซึ่งผลประโยชน์และอำนาจทางการเมืองของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว

พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่คนเก่งหรือมีความสามารถที่สุดซึ่งประเทศไทยมี คนแบบพลเอกประยุทธ์ได้เป็นนายกเพราะบางคนต้องการให้ใครสักคนกำจัด “ฝ่ายทักษิณ” อย่างแรงกล้า ความผิดของพลเอกประยุทธ์คือความไม่ตระหนักว่าตัวเองเป็นเบี้ยที่ถูกใช้แค่นี้ แต่กลับสร้าง “ระบอบประยุทธ์” ขึ้นมา

ภายใต้วิธีปกครองประเทศที่คุณประยุทธ์ใช้ระบบราชการและอุดมการณ์จรรโลงอำนาจตัวเอง ความไม่พอใจต่อคุณประยุทธ์ย่อมเป็นความไม่พอใจต่อระบบและอุดมการณ์ที่คุณประยุทธ์อ้างด้วย เจ็ดปีของระบอบประยุทธ์จึงทำให้ศรัทธาต่อกลไกและสถาบันที่คุณประยุทธ์อ้างเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว

“ระบอบประยุทธ์” คุมประเทศโดยไม่ให้สื่อ, ฝ่ายค้าน หรือนักวิชาการแสดงความเห็นมาเกือบเจ็ดปี ตัวระบอบจึงทำได้แค่เอาปืนจี้หัวบังคับให้คนสยบยอม แต่ไม่สามารถชนะใจประชาชนเพื่อสร้างความยอมรับได้จนหมดความชอบธรรมทันทีสื่อ, ฝ่ายค้าน หรือนักวิชาการแสดงความเห็นได้เสรี

พลเอกประยุทธ์เป็นนายกที่ใช้ภาษีประชาชนจำนวนมากทำ “ไอโอ” อวยตัวเองและด่าประชาชน หัวใจของวิธีคิดนี้คือความเชื่อว่าการปั่นประชาชนด้วยข้อมูลเท็จจะทำให้คุณประยุทธ์ครองอำนาจไม่รู้จบ แต่ “ไอโอ” ของคุณประยุทธ์หมดพลังทันทีที่สังคมเปิดจนคนเห็นต่างมีพื้นที่ในสังคม

พลเอกประยุทธ์ปิดวอยซ์ทีวีเพราะคิดว่าวิธีนี้จะปิดปากคนเห็นต่างจนคนต่อต้านรัฐบาลลดลง ส่วนสื่ออื่นๆ จะกลัวจนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลน้อยลงด้วย แต่ที่จริงคนต่อต้านรัฐบาลเพราะรัฐบาลเป็นสัญลักษณ์ของความเท็จ, ความไม่มีประสิทธิภาพ และผู้นำที่ไม่มีใครต้องการโดยไม่เกี่ยวกับสื่อเลย

ภารกิจแรกที่พลเอกประยุทธ์ทำหลังยึดอำนาจคือยัดเยียดให้คนไทยฟัง “ค่านิยม 12 ประการ” รวมทั้งฟังพลเอกประยุทธ์และพวกพูดทุกวันมาเกือบหกปี แต่เพราะสิ่งที่พลเอกประยุทธ์พูดเป็นความเท็จยิ่งกว่าความจริง พลเอกประยุทธ์จึงล้างสมองใครไม่ได้ ต่อให้จะปิดปากคนเห็นต่างไปหมดก็ตาม

การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงทำให้คุณประยุทธ์มีอำนาจปิดสื่อได้ตามใจ แต่ต่อให้ปิดสื่อที่รายงานการชุมนุมให้หมด ความยอมรับที่ประชาชนมีต่อคุณประยุทธ์ก็ไม่มีทางฟื้นขึ้นได้อีก การปิดสื่อจึงมีผลแค่ทำให้ประชาชนทวีความอยากไล่คุณประยุทธ์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

อวสานของระบอบประยุทธ์เกิดจากความไม่มีประสิทธิภาพของคุณประยุทธ์และ “ระบอบ” ที่คุณประยุทธ์สร้างขึ้น คุณประยุทธ์ไม่ใช่คนเก่ง แต่ “ระบอบประยุทธ์”ทำให้ระบบราชการและการเมืองอยู่ภายใต้หนึ่งในผู้นำที่ด้อยความสามารถที่สุดในประเทศ ผลก็คือระบอบนี้ทำลายตัวเองตลอดเวลา

จุดจบของพลเอกประยุทธ์และระบอบประยุทธ์เป็นเรื่องไม่ไกลเกินคาด และภายใต้บรรยากาศที่คนแทบทุกกลุ่มหันหลังให้กับคุณประยุทธ์ ยกเว้นกองหนุนอย่างสุภรณ์, สิระ, ปารีณา , ไพบูลย์ ฯลฯ โอกาสในการนำประเทศไทยกลับสู่ครรลองของประชาธิปไตยกลับสว่างไสวที่สุดในรอบหลายปี

เส้นทางของระบอบเผด็จการในสังคมไทยกำลังจะจบลง และสิ่งที่จะอ่อนแอลงไปด้วยคือพลังต่างๆ ที่คนในสังคมมองว่าเคยหนุนหลังให้คนแบบประยุทธ์ปกครองประเทศมาอย่างต่อเนื่อง การปิดฉากของพลเอกประยุทธ์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนประเทศไทยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี

ทางรอดของระบอบประยุทธ์เหลือแค่การกวาดล้างประชาชนแบบ 6 ตุลา 19 โดยยัดข้อหาว่าทุกคนที่ต้านเผด็จการคือพวกล้มสถาบัน เพราะในประเทศที่การกล่าวหาว่า “ล้มสถาบัน” เป็นใบอนุญาตให้ตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยฆ่าใครได้ตามใจชอบ วิธีนี้คือวิธีที่ง่ายที่สุดในการกำจัดคนเห็นต่างจากรัฐบาล

แน่นอนว่าประชาชนมือเปล่าไม่มีทางสู้รัฐคลั่งที่เห็นแก่ตัวขนาดฆ่าคนในชาติเพื่ออำนาจตัวเอง แต่การฆ่าย่อมนำไปสู่การสร้างระบอบที่กดหัวคนทั้งประเทศยิ่งกว่าเผด็จการทหารหลังปี 2557 จนระบอบใหม่จะเป็นระบอบทรราชที่ยกระดับความขัดแย้งในประเทศกว่าที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

ไม่เคยมียุคไหนที่คนไทยซึ่งรักประเทศจริงๆ ต้องออกมาปกป้องประเทศจากคนซึ่งหมกมุ่นแต่รักษาอำนาจโดยอ้างประเทศเป็นเครื่องมือกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามแบบปัจจุบัน เพราะหากสกัดเรื่องนี้ไม่ได้ ประเทศไทยจะอยู่ใต้ระบอบทรราชที่ปกครองประชาชนด้วยความกลัวและความโหดเหี้ยมโดยสมบูรณ์

ปล่อยให้ระบอบประยุทธ์อวสานคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทย และที่แน่ๆ คือดีกว่าการทำทุกวิถีทางเพื่อต่ออายุระบอบประยุทธ์จนสังคมไทยเกิดระบอบทรราชซึ่งอันตรายกับทุกคนในสังคม