“ผบ.ตร.” สั่งจเรตำรวจฯ ลุย! อมเบี้ยเลี้ยงด่านโควิด ใครเอี่ยวฟัน “วินัย-อาญา”

กําลังเป็นประเด็นร้อนวงการสีกากี เมื่อผู้เป็น “นาย” ถูกกล่าวหาว่าไม่โปร่งใส ทุจริต “อมเบี้ยเลี้ยง” ลูกน้องที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านโควิด-19

ย้อนกลับไปช่วงเกิดระบาดโควิด-19 ตำรวจถือเป็นด่านหน้าทำหน้าที่รับมือสถานการณ์ดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้ส่งตำรวจตามโรงพักต่างๆ ซึ่งเปรียบเสมือนมดงานออกไปปฏิบัติงานร่วมกับทหาร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร่วมกันตั้งจุดสกัด ด่านตรวจ ดูแลการเดินทางข้ามจังหวัด และพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดต่อโรค เพื่อสกัดไวรัสร้าย

จนสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ออกไปทำหน้าที่สุ่มเสี่ยงติดเชื้อโรคทั้งหลายยังไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงเลย ต่างตั้งหน้ารอคอยหวังเอาเงินมาจุนเจือครอบครัว แต่เก้อมานานหลายเดือน

ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้แจ้งไปยังหน่วยต่างๆ เรื่องการโอนเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 งบกลาง ที่ได้รับจัดสรรมาจากรัฐบาล จำนวน 2,521 ล้านบาท ในส่วนนี้มีงบประมาณเบี้ยเลี้ยงการตั้งด่าน ที่ผู้ปฏิบัติต้องได้รับชั่วโมงละ 60-70 บาท วันละไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน

แต่เมื่อเริ่มมีการโอนจ่ายเบี้ยเลี้ยง ยอดเงินที่ได้รับกลับไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกทั้งยังเกิดขึ้นในหลายกองบัญชาการ สร้างความเคลือบแคลงใจให้ตำรวจชั้นผู้น้อย

จนต้องออกมาระบายเรื่องราวผ่านโซเชียลมีเดีย ติดแฮชแท็กอมเบี้ยเลี้ยงโควิด

ตัวอย่างข้อความร้องเรียนจากตำรวจชั้นผู้น้อยผ่านทางเฟซบุ๊ก

“ตำรวจชั้นผู้น้อยก็หวังจะนำเงินเบี้ยเลี้ยงโควิดเพื่อไปจุนเจือครอบครัว ผู้บังคับบัญชาก็ทั้งหักทั้งอมทั้งหอบเงินหนี” อีกข้อความระบุ “สภ. (แห่งหนึ่ง) ภ.จว.ขอนแก่น ก็ไม่น้อยหน้า งบโควิด 504,000 บาท ให้ผู้ปฏิบัตินายละ 1,700 บาท นอกนั้นหายหมด” และ “ทุจริตเบี้ยเลี้ยงโควิดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มันเกิดจากใคร ที่แน่ๆ ไม่ใช่ตำรวจชั้นผู้น้อย”

จากประเด็นดังกล่าว พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ให้สัมภาษณ์ ยอมรับว่ามีการทุจริตเบี้ยเลี้ยงตำรวจชั้นผู้น้อยจริง เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การกระทำความผิดเป็นขบวนการ แต่เป็นความผิดรายบุคคล ทั้งนี้ การเรียกเงินเบี้ยเลี้ยงคืนไม่ใช่นโยบายของ ตร.แน่นอน เป็นไปตามข้อเท็จจริงว่าใครไปทำงานตั้งด่าน ต้องได้รับเบี้ยเลี้ยงนั้น เบื้องต้นจากที่ได้รับฟังมาจะทำในลักษณะโอนเงินให้ก่อน และให้ตำรวจกดเงินมาคืน ซึ่งหากตรวจสอบแล้วมีเหตุการณ์ทอนเงินเกิดขึ้นจริง ถือว่าเป็นเรื่องทุจริต

และเรื่องนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ

พร้อมกับมีหนังสือสั่งการ ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ไปยังผู้บัญชาการทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการตั้งด่านโควิด-19 ใจความระบุว่า ด้วยมีข่าวปรากฏตามสื่อออนไลน์จำนวนหลายข้อความ ร้องเรียนว่าหน่วยงานในสังกัด ภ.4 ภ.5 และ บช.ทท. มีการเบิกจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงโควิดแล้วข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ได้รับเงินไม่เป็นไปตามจำนวนที่เบิก หรือไม่ได้รับเงินตามที่มีการเบิกจ่ายจริง หรือมีการโอนเงินเข้าบัญชีแล้วให้ข้าราชการที่ได้รับเงิน เบิกเงินแล้วนำไปคืน ซึ่งเป็นการร้องเรียนกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจกระทำผิดวินัยหรือประพฤติมิชอบ หรือทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่

จึงให้ ภ.4, ภ.5 และ บช.ทท. ตรวจสอบข้อเท็จจริงการเบิกจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงตามที่ปรากฏดังกล่าวให้ครบถ้วนทุกประเด็น ว่ามีการเบิกจ่ายให้กับผู้ปฏิบัติจริงหรือไม่ หากพบว่าไม่มีการเบิกจ่ายจริง หรือพบว่าข้าราชการตำรวจผู้ใดบกพร่องหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริตดังกล่าวให้ดำเนินการทางวินัยหรือทางอาญาตามอำนาจหน้าที่ โดยให้รายงานผลให้ทราบภายใน 10 วัน นับตั้งแต่มีคำสั่ง

ส่วน บช.น., ภ.1-3, ภ.6-9, ตชด., บช.ก., สตม., สพฐ.ตร. และ รร.นรต. ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณค่าตอบแทนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตั้งด่านโควิด-19 ก็ให้ตรวจสอบในลักษณะเดียวกันด้วย

ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม พล.ต.อ.วิสนุได้แต่งตั้ง พล.ต.ท.อดิศร์ งามจิตสุขศรี รองจเรตำรวจแห่งชาติ (สบ 9) เป็นประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมคณะทำงานอีก 15 ราย และตั้งชุดตรวจสอบข้อเท็จจริงอีก 10 ชุด ชุดละ 5 นาย ลงไปตรวจสอบหาพยานหลักฐานต่างๆ อาทิ หลักฐานการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติงานนอก ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.), ใบลงเวลาการปฏิบัติงานแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง, สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารและรายการเดินบัญชีของข้าราชการตำรวจ ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2563 ถึงปัจจุบัน โดยให้ปรากฏยอดเงินเบี้ยเลี้ยงโควิด-19 ที่เข้าบัญชีพร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง

ขณะที่ พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร.เผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการด่วนให้ พล.ต.อ.วิสนุพร้อมคณะจเรตำรวจฯ ลงพื้นที่ภาคอีสานที่ขอนแก่นและเลย เพื่อรับฟังเสียงตำรวจผู้น้อย และตรวจสอบประเด็นดังกล่าวอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งลงพื้นที่ตรวจสอบทุกกองบัญชาการทั่วประเทศ เพราะเป็นกรณีที่กระทบต่อขวัญกำลังใจข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยหากพบการทุจริตให้ดำเนินการทางวินัยและอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด

พล.ต.ต.ยิ่งยศกล่าวอีกว่า นโยบายของ ผบ.ตร. อะไรก็ตามที่เป็นสวัสดิการที่เป็นประโยชน์ของตำรวจชั้นผู้น้อย แม้กระทั่งการพัฒนาด้านความรู้ พัฒนาคุณภาพชีวิต ผบ.ตร.ให้ความสำคัญเป็นเรื่องแรก เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติขับเคลื่อนโดยตำรวจชั้นประทวน เป็นคนที่คอยปะทะรับเรื่อง แก้ปัญหาให้กับตำรวจทั้งองค์กร ถ้าเขายังไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนจะได้รับความเป็นธรรมได้อย่างไร เรื่องนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ให้ความสำคัญอย่างสูง ใครผิดต้องได้รับโทษ ถ้าเป็นความเข้าใจผิดต้องมาชี้แจงให้เป็นที่เข้าใจ

ดูสัญญาณที่ “บิ๊กปั๊ด” ผบ.ตร.ส่งออกไป ผู้เป็น “นาย” ต้องตรวจสอบอย่างจริงจัง อย่าลูบหน้าปะจมูก ฟอกขาวให้กัน แล้วนำเงินมาคืนตำรวจชั้นผู้น้อยได้ครบทุกบาททุกสตางค์