ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 พฤษภาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
น่าจะเป็นเพราะอาการ “เสพโซเชียล” มากไปในระยะหลัง
ความคิดความอ่านเลยฟุ้งกระจายไปทางโน้นทีทางนี้ที
อ่านโน่นอ่านนี่มากๆ เข้า แล้วก็เลยพาลนึกไปถึงสำนวนจีนที่ว่า “ร้อยบุปผาบานพร้อมพรัก ร้อยสำนักเปล่งภูมิ” ขึ้นมา
พอนึกแล้วก็ไปค้น พอไปอ่านแล้วก็สนุก
ช่วยให้หางอึ่งงอกเพิ่มขึ้นมาอีกนิด
อาศัยความเป็นศิษย์นอกห้องเรียนแบบครูพักลักจำ ขออนุญาตตัดตอนข้อความจากบัญชร “เงาตะวันออก” ของท่านอาจารย์วรศักดิ์ มหัทธโนบล ในมติชนสุดสัปดาห์นี้เองมาเล่าต่อ
ถ้าผู้อ่านสนุกไปด้วย แปลว่าต้นตอท่านเรียบเรียงค้นคว้ามาดี
ถ้าอ่านแล้วขัดใจ
แปลว่าคนสรุปมาไม่ได้เรื่อง
ท่านเขียนอธิบายไว้อย่างนี้ครับ
“ปราชญ์แห่งสำนักต่างๆ ของจีนเวลานั้นเกิดในช่วงปลายยุควสันตสารท แล้วต่อเนื่องไปจนถึงปลายยุครัฐศึก
(เรียกว่ายุคชุนชิว-จ้านกว๋อ หรือคนไทยรู้จักในชื่อเดิมว่าเลียดก๊ก-ผู้เขียน)
การปรากฏขึ้นของสำนักเหล่านี้ผ่านช่วงเวลานานนับร้อยปี ทำให้มีสำนักเกิดขึ้นจำนวนมาก
จนกล่าวกันว่ามีอยู่นับ “ร้อยสำนัก”
เป็นคำกล่าวเปรียบว่ามีอยู่จำนวนมากจนเกินจะนับ
สำนักปรัชญาที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากจนเป็นที่มาของคำกล่าวเปรียบว่า “ร้อยสำนัก” นี้เอง
ทำให้เกิดคำเรียกขานปรากฏการณ์นี้ว่า “ไป่เจียเจิงหมิง” หรือ “ร้อยสำนักเปล่งภูมิ” ขึ้นมา
ส่วนสำนวนที่ว่า “ไป่ฮวาฉีฟ่าง ไป่เจียเจิงหมิง” หรือ “ร้อยบุปผาบานเบ่ง ร้อยสำนักเปล่งภูมิ” นั้น
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1950 หลังจากที่จีนตกอยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ไปแล้ว
ผู้ที่ใช้สำนวนที่ว่าคือ เหมาเจ๋อตง (1893-1976)
ซึ่งเป็นการใช้ด้วยเหตุผลทางการเมือง”
แต่จาก “ร้อยสำนัก” ที่ว่า จะมีเพียงไม่กี่สำนักเท่านั้นที่มีชื่อเสียง
และมิได้หมายความว่ากลุ่มคนในระดับชนชั้นปกครองจะให้การยอมรับเสมอไป
ยังเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า สำนักที่ได้รับการยอมรับจากชนชั้นปกครองค่อนข้างสูงมักจะเป็นสำนักนิตินิยม
อันเป็นสำนักที่มีแนวคิดที่สามารถนำมาปฏิบัติและเห็นผลได้จริง
โดยไม่จำเป็นว่าการปฏิบัตินั้นจะอิงกับหลักจริยธรรมหรือคุณธรรมหรือไม่
ด้วยเหตุดังนั้น สำนักที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของสังคม แต่มิได้รับการยอมรับจากผู้นำรัฐในขณะนั้น
จึงมักเป็นสำนักที่ให้คุณค่ากับจริยธรรมและคุณธรรม
ซึ่งมีความเป็นอุดมคติสูง
แล้วสำนักไหนโดดเด่นบ้าง ไล่เรียงดูก็ได้แก่
ขงจื่อกับสำนักหญู
แต่กว่าที่หลักคำสอนหรือหลักคิดของเขาจะเป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริง ก็ล่วงไปจนถึงเมื่อราชวงศ์ฮั่นก้าวขึ้นมาปกครองแผ่นดินจีน หรือในอีกราว 300 ปีต่อมาแล้ว
แต่นับจากนั้นต่อมาอีกกว่า 2,000 ปี ก็คือห้วงเวลาที่สำนักหญูของขงจื่อมีอิทธิพลเหนือสังคมจีนตลอดมา
สำนักเต้ากับเหลาจื่อ
หลักคิดของสำนักเต้านั้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตกับธรรมชาติที่เป็นไปอย่างแนบแน่น
ทำให้สำนักนี้ต้องอาศัยความรู้ในเรื่องอิน-หยางและอู่สิงหรือธาตุทั้งห้า (น้ำ ไฟ ไม้ โลหะ และดิน) มาอธิบายหลักคิดทางปรัชญาของตนด้วย
(ก่อนบางส่วนจะกลายเป็นสำนักเล่นแร่แปรธาตุในเวลาต่อมา-ผู้เขียน)
สำนักม่อกับม่อจื่อ
ม่อจื่อคัดค้านธรรมเนียมปฏิบัติ พิธีกรรม ประเพณี หรือขนบจารีต แบบที่ขงจื่อและสำนักหญูยึดถือ
ไม่เห็นด้วยแม้กระทั่งการไว้ทุกข์ให้แก่บิดามารดาที่นานถึง 3 ปี
บอกว่าทำให้ราษฎรต้องสูญเสียทั้งเงินทองและแรงกายไปโดยเปล่าประโยชน์
แต่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา เช่นเดียวกับราษฎรทั่วไปหรือผู้มีฐานะต่ำต้อยในสังคม
และเน้นสารัตถะที่ “ความรัก” เป็นสำคัญ
โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่ภราดรภาพ
“แต่น่าเสียดายที่อีกไม่กี่ร้อยปีต่อมา เกิดการเผาตำราในสมัยราชวงศ์ฉินโดยจักรพรรดิฉินสื่อที่เกิดเมื่อ 213 ปีก่อน ค.ศ. หรือปีที่ 8 ของการครองราชย์นี้
ผู้เป็นต้นคิดคือมหาอำมาตย์หลี่ซือ ที่เสนอให้เผาตำราของปราชญ์ทุกสำนัก ด้วยเห็นว่าไม่มีประโยชน์ต่อการบริหารรัฐ
ให้เหลือไว้ก็แต่ตำราบางเล่ม เช่น แพทยศาสตร์ โหราศาสตร์ เกษตรศาสตร์ เป็นต้น”
ผ่านไปหลายพันปีแล้ว ความเป็นไปของสังคมและมนุษย์ยังเวียนๆ วนๆ อยู่ใกล้ที่เดิม
ควรจะประหลาดใจ สังเวชใจ
หรือดีใจ?