ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 พฤษภาคม 2560 |
---|---|
เผยแพร่ |
คอลัมน์สิ่งแวดล้อม
ทวีศักดิ์ บุตรตัน [email protected]
คราวที่แล้วกล่าวถึงภาพรวมในรายงานของราชสมาคมพืชสวนแห่งอังกฤษ ประจำปี 2560 เห็นว่าในขณะนี้สวนอังกฤษได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนแล้ว และผลกระทบดังกล่าวนี้ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องอีกนับสิบปีแม้ชาวโลกร่วมมือร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้วก็ตาม
ผลกระทบจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างแปรปรวน ทำให้สวนอังกฤษต้องปรับตัวรับมืออย่างจริงจัง
คราวนี้ขอนำรายงานของราชสมาคมพืชสวนฯ ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 บทด้วยกันมาเปิดเผยในรายละเอียดโดยสรุป
ในบทแรกเป็นบทเกริ่นนำ ลำดับความให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศมีอิทธิพลต่อสวนอังกฤษอย่างไร
“สวนอังกฤษ” ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์
การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศย่อมมีผลกับสวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชาวสวนและนักพืชสวนต่างเข้าใจถึงผลกระทบดังกล่าวและกำลังให้ความสนใจว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
ที่สำคัญกว่านั้น ศัตรูพืชใหม่ๆ และโรคระบาดกำลังคืบคลานเข้าสู่สวนอังกฤษและสร้างผลกระทบอันเลวร้าย
“ศัตรูพืชบางชนิด เราพบว่า ในอดีตไม่เคยเห็นในสวนอังกฤษมาก่อนเลย แต่เดี๋ยวนี้ได้รุกเข้ามาและแพร่ระบาดไปทั่ว นี่เป็นประเด็นที่ต้องถกกับหลายๆ ฝ่าย รวมทั้งในแง่การบังคับใช้กฎหมายด้วย”
กฎหมายใหม่ๆ ต้องนำออกมาใช้เพื่อบริหารจัดการกับศัตรูพืชที่มากับสินค้านำเข้า และการจัดการกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรค
นอกจากนี้แล้ว ยังต้องหารือในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสวนกับสภาวะแวดล้อมธรรมชาติ
ประเด็นที่เราหารือกันบ่อยครั้งขึ้น เป็นเรื่องที่ชาวสวนประสบปัญหาช่วงเวลาการเพาะปลูกที่เปลี่ยนไป
อุตสาหกรรมพืชสวนอังกฤษทำรายได้มหาศาล เฉลี่ยปีละ 13,000 ล้านปอนด์
ชาวอังกฤษเกือบครึ่งค่อนประเทศทำกิจกรรมในสวนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ หรือวิ่งออกกำลังกาย
สวนไม้ดอกไม้ประดับ หรือสวนสาธารณะครอบคลุมเนื้อที่เกาะอังกฤษ 4,500 ตารางกิโลเมตร
กล่าวได้ว่า สวนอังกฤษมีความสัมพันธ์แนบแน่นทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
ในบทที่สองว่าด้วยแนวโน้มโลกที่เป็นผลจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
เน้นให้เห็นถึงหลักฐานที่ยืนยันว่าชาวโลกเป็นต้นเหตุทำให้เกิดสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซพิษชนิดต่างๆ สู่ชั้นบรรยากาศโลกอย่างต่อเนื่องนับแต่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ในบทนี้ได้นำข้อมูล หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากหน่วยงานต่างๆ เช่น คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี แห่งสหประชาชาติ สถิติขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก และยูเนป (สำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ) มาสรุปให้เห็นทิศทางอนาคต
“การวิเคราะห์ข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ เหล่านี้ ได้ชี้ว่า โลกเราร้อนขึ้นมานานกว่า 150 ปีแล้ว และสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงด้วย”
ระหว่างปี พ.ศ.2423-2555 อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเกือบทั้งโลก ทั้งยังมีหลักฐานอีกว่าในบางจุดนั้น อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่บางจุดเพิ่มอย่างช้าๆ
ปี 2558 เห็นได้ว่า อุณหภูมิโลกมีค่าเฉลี่ยสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกลางศตวรรษที่ 19 และปลายศตวรรษที่ 19
อุณหภูมิกลางและปลายศตวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์ใช้เป็นเกณฑ์ชี้วัดยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม เพราะมีการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบมากที่สุด
สถิติอุณหภูมิที่เก็บได้นั้น สามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลปรากฏในวงรอบของต้นไม้
อุณหภูมิโลกยังมีความสัมพันธ์กับมหาสมุทร
อุณหภูมิมหาสมุทรระดับเหนือกว่า 700 เมตร เพิ่มสูงขึ้นมานานกว่า 100 ปี
ส่วนค่าเฉลี่ยระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 0.19 เมตร ตลอดช่วงปี พ.ศ.2444-2553
ผลจากอุณหภูมิมหาสมุทรเพิ่มขึ้นยังส่งผลทำให้น้ำทะเลมีค่าความเป็นกรดสูงขึ้นด้วย แนวโน้มจะทำลายชีวิตสัตว์ใต้ท้องทะเล เช่น พวกหอย ปู รวมทั้งปะการัง
ผลจากโลกร้อนทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลายและหดตัวอย่างน่าใจหาย
ตั้งแต่ปี 2512 แผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกหดตัวลงรวดเร็วโดยเฉพาะในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง
ระหว่างปี 2542-2544 แผ่นน้ำแข็งบริเวณเกาะกรีนแลนด์ หายไปเฉลี่ยปีละ 34 กิ๊กกะตันน้ำแข็ง
มาในปี 2546-2555 อัตราเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 215 กิ๊กกะตันต่อปี
ศตวรรษที่ 20 สภาวะภูมิอากาศแปรปรวน เกิดขึ้นถี่บ่อยจนเห็นได้ชัดเจน
เหตุการณ์คลื่นความร้อนแผ่ทั้งในยุโรป เอเชียและออสเตรเลีย เพิ่มความถี่มากขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20
จำนวนวันที่มีอากาศเย็นในตอนกลางวันและกลางคืนลดลง ขณะนี้วันที่มีอากาศร้อน มีจำนวนเพิ่มขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน
ปริมาณฝนที่ตกหนักทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ มีเพิ่มขึ้นและถี่บ่อยตั้งแต่ปี 2493
ความจริงแล้ว ธรรมชาติสร้างความสมดุลให้กับโลกอย่างมหัศจรรย์
กล่าวคือ แสงแดดที่ส่องลงมาถึงผิวโลกและพลังงานที่ปล่อยจากผิวโลกสู่ชั้นบรรยากาศเป็นไปอย่างสอดคล้องสัมพันธ์กัน
แต่เมื่อชาวโลกร่วมกันปล่อยก๊าซพิษออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้ความสมดุลเปลี่ยนไป
ก๊าซพิษดักสกัดพลังงานแสงอาทิตย์ที่ปล่อยสู่ผิวโลก ขณะที่พลังงานจากผิวโลกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมีปริมาณมากกว่า
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อน ฝนตกหนัก ภูมิอากาศแปรปรวนอย่างฉับพลัน ลมพายุรุนแรงถี่บ่อยครั้งตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 มาจากการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศโลก
ในบทที่สองของรายงานชิ้นนี้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศในอนาคตไว้ว่า การเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากก๊าซเรือนกระจกนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
คาดกันว่าอุณหภูมิบนพื้นผิวโลก ตั้งแต่ปี 2560-2578 จะอยู่ที่ 0.3-0.7 องศาเซลเซียส สูงเกินกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2529-2543
ในปี 2559 นั้น เป็นปีที่มีการบันทึกไว้ว่าอุณหภูมิ 6 เดือนแรก ตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน ร้อนที่สุดทำลายสถิติเดิม
มองอนาคตในช่วง 10-20 ปีข้างหน้า กลางวันที่มีอากาศร้อนมากและกลางคืนร้อนมากๆ เช่นกันนั้น จะเกิดบนเกาะอังกฤษถี่บ่อยครั้งขึ้น
ผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศเช่นนี้ ราชสมาคมพืชสวนแห่งอังกฤษจึงต้องนำมาถกเถียงในบทที่สามเพื่อป้องกันและหาทางแก้ปัญหาที่จะเกิดกับสวนอังกฤษ