ต่างประเทศ : การล็อกดาวน์ที่ได้ผล ของ “ออสเตรเลีย” กับการระบาดของโควิดในสหรัฐ

สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ทั่วโลกตอนนี้ ดูจะยังไม่ได้ดีขึ้นเลย เนื่องจากยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมากภายในเวลาอันรวดเร็ว ขณะที่วัคซีนก็ยังไม่มีให้ใช้กัน

มีหลายประเทศที่เกิดการระบาดระลอก 2 ขึ้นมา และทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

หากแต่ประเทศที่ประกาศใช้มาตรการเข้มข้นในการปิดเมือง หรือล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดเอาไว้ และได้ผลเสียด้วย แต่บางประเทศจะผ่านไปเท่าไหร่ ก็ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้

เจมส์ กริฟฟิธส์ แห่งซีเอ็นเอ็น ได้เขียนบทวิเคราะห์ กรณีการล็อกดาวน์ของออสเตรเลีย ที่ได้ผลดี แต่มีคำถามว่า จะเป็นแบบอย่างสำหรับสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่

 

กริฟฟิธส์ระบุว่า เมื่อครั้งที่แดเนียล แอนดรูว์ส มุขมนตรีแห่งรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ประกาศล็อกดาวน์รัฐวิกตอเรีย เขาถูกตราหน้าว่าเป็น “เผด็จการ” และพยายามที่จะสร้าง “กูลัก” หรือเปรียบเป็นค่ายบังคับแรงงานสมัยสหภาพโซเวียตขึ้น จนเกิดกระแสต่อต้านการล็อกดาวน์จำนวนมาก

หากแต่แอนดรูว์สนักการเมืองจากพรรคแรงงาน ผู้ขึ้นมาเป็นมุขมนตรีแห่งรัฐวิกตอเรีย รัฐที่ใหญ่อันดับ 2 ของประเทศออสเตรเลีย ตั้งแต่ปี 2014 ยังคงได้รับความนิยมทั่วรัฐวิกตอเรีย ในการสำรวจความคิดเห็นล่าสุด หลังจากมาตรการล็อกดาวน์ของเขาใช้ได้ผล และแต่ละวันมีผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นจำนวนไม่มาก หลังจากตัวเลขทะยานขึ้นไปอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา และเตรียมเริ่มการผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดบางอย่างลง หากตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นไม่เกิน 50 คนต่อวันไปอย่างนี้ และขณะนี้ ยังคงมีมาตรการเคอร์ฟิวตอนกลางคืน ยาวไปจนถึงวันที่ 26 ตุลาคม

ขณะที่นายแอนดรูว์สเองกล่าวระหว่างการแถลงข่าว แสดงความเชื่อมั่นว่า จะต้องได้รับชัยชนะในการล็อกดาวน์ครั้งนี้อย่างแน่นอน

 

แม้ว่ามาตรการล็อกดาวน์นี้ จะกลายเป็นการยั่วยุสื่อบางสื่อ และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนายสกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แต่จากประสบการณ์ของรัฐวิกตอเรีย ได้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า การล็อกดาวน์แบบเจาะจงเป้าหมายนั้น “ได้ผลดีอย่างยิ่ง” ในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดน้อยลง ผ่อนคลายแรงกดดันตามโรงพยาบาลและเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ ผู้อยู่เบื้องหลังการรักษาผู้ป่วย และช่วยสร้างพื้นที่สำหรับการตามรอยผู้ติดเชื้อ และทำการทดสอบหาเชื้อเป็นวงกว้างได้ง่ายขึ้น

วิธีดังกล่าวนี้ เคยปรากฏมาแล้วที่ประเทศจีน เมื่อรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์เจาะจงไปที่เมือง “อู่ฮั่น” ต้นตอของไวรัสโคโรนา 2019 ที่ถูกพบครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นปลายเดือนมกราคม ก็มีการประกาศล็อกดาวน์เมืองอู่ฮั่น จำกัดการเคลื่อนย้ายของผู้คน

ก่อนที่สถานการณ์ในอู่ฮั่นจะคลี่คลาย และใช้เวลาเพียง 76 วัน ก็สามารถคลายล็อกดาวน์เมืองอู่ฮั่นได้ ให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ในวิถี “นิวนอร์มอล” กันได้ในเดือนเมษายน

และตอนนี้ ชาวเมืองอู่ฮั่นก็สามารถกลับมาใช้วิถีชีวิตได้ตามปกติ สามารถจัดงานใหญ่ๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัส

ด้วยความสำเร็จในมาตรการที่อู่ฮั่นใช้ จึงมีการนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางในทั่วประเทศจีน รวมทั้งในกรุงปักกิ่ง ที่ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในจีนอยู่ช่วงหนึ่ง ก็สามารถคุมสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว และผ่านพ้นไปด้วยดี

นายอู่ จวิน โหยว หัวหน้านักระบาดวิทยา แห่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของจีน บอกว่า การระบาดของโควิด-19 ในจีน ผ่านมาทั้งหมด 4 ช่วงด้วยกัน โดยนอกเหนือจากที่เมืองอู่ฮั่น ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการระบาด และถือเป็นการระบาดช่วงแรก การระบาดช่วงที่เหลือในจีน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการระบาดแบบกลุ่มก้อนทั้งสิ้น และสามารถควบคุมไว้ได้อย่างได้ผล

กระนั้นก็ตาม บางคนก็ตั้งข้อสังเกตว่า การที่จีนควบคุมได้ไวนั้น เป็นเพราะเรื่องระบอบการปกครองแบบพรรคเดียว คือพรรคคอมมิวนิสต์ปกครองประเทศ ทำให้ง่ายต่อการสั่งงานและควบคุม

 

หากแต่ในกรณีที่รัฐวิกตอเรียนั้น เป็นการพิสูจน์แล้วว่า กลยุทธ์ในการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้นนั้น ใช้ได้ผล แม้จะไม่ได้เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ อีกทั้งยังมีการให้ข้อมูล และความแน่ใจแก่ประชาชน เพื่อลดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนอีกด้วย

กริฟฟิธส์มองว่า ที่อื่นๆ ที่ล็อกดาวน์เช่นกัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการล็อกดาวน์บางส่วน ไม่ใช่ล็อกดาวน์แบบทั้งเมือง ทำให้ไม่สามารถควบคุมผู้คนได้จริงๆ เมื่อคุมคนไม่ได้ เชื้อไวรัสก็สามารถแพร่กระจายไปได้

ขณะที่บางประเทศ รวมไปถึงในยุโรปและสหรัฐอเมริกานั้น ก็มีผู้คนออกมาต่อต้านการล็อกดาวน์ หรือบางแห่งก็ล็อกดาวน์เพียงบางส่วนเท่านั้น แม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะยังทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้คนก็ยังต่อต้านการล็อกดาวน์ ทำให้ทางการเองก็ไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนอะไร เพราะบางส่วนก็กลัวจะเสียคะแนนเสียงสนับสนุนไป

ส่วนสหรัฐอเมริกานั้น ยังคงเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโควิด-19 สูงที่สุดในโลก ตอนนี้มีทะลุกว่า 6.7 ล้านคนแล้ว และตายแล้วเกือบ 2 แสนราย

โดยมีการคาดการณ์กันว่า ตัวเลขเหล่านี้จะทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ผู้คนที่ต่อต้านการล็อกดาวน์บางส่วน จึงเริ่มกลับมาคิดแล้วว่า หรือควรจะ “ล็อกดาวน์” กันอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันหายนะที่กำลังรออยู่ข้างหน้า