อนุสรณ์ ติปยานนท์ : น้ำผึ้งในเรือน

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (46)
ป่าน้ำผึ้ง (11)

“อาชีพป่าดงพงไพร

เลี้ยงโคทำไร่

ไถนาเป็นพราน

หน้าแล้งเราพากันเผาถ่าน

หาฟืนกลับบ้านเป็นทุน

เงินทองหามาได้

อดออมเอาไว้พออุ่น

เจ็บไข้ได้เกื้อหนุน

เจือจุนการุณผูกพัน”

เพลง “ชาวดง” ประพันธ์โดย วิมล จงวิไล

 

“ผมขึ้นไปถึงรวงผึ้งบนสุดคาคบ แทนการโจมตีผมตามวิสัยของผึ้ง การณ์กลับเป็นว่าฝูงผึ้งพากันวนรอบตัวผมสามรอบแล้วบินหายสาบสูญไป ทิ้งไว้เพียงรวงผึ้งขนาดใหญ่ยักษ์ และไม่เพียงแต่ฝูงผึ้งดังกล่าว ฝูงลิงสีขาวก็หายสาบสูญไปด้วย ผมค่อยๆ นำรวงผึ้งใส่ย่ามก่อนจะค่อยไต่กลับลงมาสู่พื้นดิน”

“เมื่อลงถึงพื้นดิน แสงฉานรับรวงผึ้งจากมือของผมด้วยความยินดีปรีดา ไม่ต้องมีคำใดเอื้อนเอ่ย ผมเห็นได้ว่าแสงฉานมีความสุขมากเพียงใด เธอพูดกับผมว่า “กลับบ้านเรากันเถิดพี่ น้องเตรียมอาหารไว้คอยท่าพี่แล้ว””

“แสงฉานเดินนำหน้าผมออกจากป่า ผมคิดว่าเธอจะนำผมกลับเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ผิดถนัด เธอนำผมมาถึงเรือนขนาดกลางหลังหนึ่ง จากวัสดุเป็นเรือนที่ปรุงขึ้นด้วยช่างฝีมือท้องถิ่น แต่ความประณีตในเชิงช่างนั้นสูงเอามากๆ ผนังของเรือนเป็นแบบฝาไหลที่เลื่อนปิดเปิดได้ โครงหลังคาเป็นแบบกาแลมีหำยนต์อยู่บริเวณหน้าจั่วตรงตามตำรา มีเรือนน้ำ มีเรือนครัว แสงฉานขอให้ผมถอดรองเท้าก่อนจะเทน้ำจากโอ่งน้ำตรงบันไดขึ้นบ้านล้างเท้าให้ผม หลังจากนั้นเธอเดินนำหน้าผมขึ้นไปบนเรือน พื้นเรือนนั้นทำด้วยไม้สักแผ่นใหญ่เป็นศอก เรือนหลังนี้ช่างแลดูเป็นเรือนคหบดีที่มั่งคั่งมากกว่าเรือนของชาวป่าชาวดอย”

“อย่างไรก็ตาม ผมไม่มีความสงสัยในเรือนหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือวัตถุดิบของมันเท่ากับที่ตั้งของมัน เหตุใดไฉนเล่าแสงฉานจึงไม่พาผมกลับไปที่หมู่บ้าน ผมมีความเป็นห่วงในสัมภาระของตนเองและรถยนตร์ของหลวงที่จอดทิ้งไว้ที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน หากผมไม่กลับไป จะมีใครเป็นห่วงใยผมบ้างอีกทั้งสิ่งของไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าและเอกสารการงานทั้งหลายของผมก็ไม่ควรถูกทิ้งไว้ดังการไร้ความแยแสใดๆ”

“คุณพี่ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเป็นการขัดจังหวะ

“เบื่อแล้วสินะ ที่เรื่องเล่าของผมไม่จบเสียที ผมเองก็พยายามรวบรัดมันอยู่ แต่คนแก่ล่ะนะ พอได้รำลึกถึงความหลัง มันก็เหมือนน้ำในบ่อเวลาที่ทำนบมันแตกออกมา จะอุดตรงไหนก็ดูจะไม่ได้ผลไปเสียสิ้น”

“หามิได้ครับ ผมเพียงแต่อดสงสัยไม่ได้ว่า คุณพี่กลับมาที่เรือนของแสงฉานในฐานะแขกหรือในฐานะอะไรอื่นนอกจากนี้”

“นั่นแหละ สิ่งที่คุณถามเป็นประเด็นสำคัญมากๆ เพราะผมขึ้นเรือนไป ผมจึงได้ตระหนักแก่ใจว่าผมนั้นเองที่เป็นเจ้าของเรือนดังกล่าว ผมนั้นเองที่เป็นหัวหน้าครอบครัวของเรือนหลังนี้ และผมนั้นเองที่เป็นสามีของแสงฉาน”

 

“คุณพี่เป็นสามีของเธอตั้งแต่ตอนใดกัน?” ชายหนุ่มอุทาน

“ผมเองก็ไม่แน่ใจ เฉกเช่นเดียวกับว่าผมก็ไม่แน่ใจว่าตนเองเข้าไปอยู่ในภาพผ้าทอได้อย่างไร สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นกับผมตอนนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วจนผมก็จนใจที่จะลำดับความมันได้ถูกต้องแม้กระทั่งในวันนี้”

“คุณพี่มิได้เจอบุคคลอื่นทั้งที่มาจากในหมู่บ้านหรือที่เคยร่วมพิธีกรรมบนศาลาเลยหรือครับ?”

“ไม่เลย” ชายผู้ครองยศเป็นหลวงบุเรศรฯ ส่ายศีรษะเบาๆ “อย่าว่าแต่บุคคลที่ผมคุ้นเคยหรือผมเคยพบปะหรือเคยสนทนา แม้กระทั่งบุคคลอื่นที่เป็นผู้คนอย่างเราท่าน ผมก็หาได้พบเจอใครเลยไม่”

“คุณพี่หมายความว่า…” ชายหนุ่มอุทาน

“ใช่ ผมหมายความว่านอกจากผมและแสงฉานแล้ว ในช่วงเวลาที่ผมอยู่ในป่าแห่งนั้น ตลอดเวลานั้น ผมไม่เคยได้พบกับมนุษย์คนอื่นเลย”

 

“นอกเหนือจากนั้น”

คุณหลวงฯ กล่าวต่อ “ที่ผมอยากจะเล่าให้คุณฟังก็คือเมื่อขึ้นไปบนเรือน นอกจากสิ่งของที่ควรมี ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไม้สอยจนเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มีอยู่พร้อมมูลแล้ว สิ่งหนึ่งที่มีมากมายอยู่บนเรือนคือ “น้ำผึ้ง””

“มีโอ่งอยู่บนชานเรือนนั้นเป็นสิบๆ จนอาจจะถึงร้อย แต่ละโอ่งบรรจุน้ำผึ้งจนเต็ม ทุกโอ่งมีน้ำผึ้งที่มีรสชาติแตกต่างกันไป ผมเคยหยั่งเชิงทดลองชิมและพบว่าผ่านไปหลายสิบโอ่ง ความหอม ความหวานของน้ำผึ้งเหล่านั้นไม่มีความพ้องเคียงกันเลย บางโอ่งให้กลิ่นของมะม่วงสุก บางโอ่งให้รสเจือเปรี้ยวแบบส้มป่า บางโอ่งหอมด้วยกลิ่นของมหาหงส์ บางโอ่งหวานละมุนราวกับน้ำตาลโตนด ผมเคยถามแสงฉานว่าน้ำผึ้งมหาศาลเหล่านี้มาจากที่ใด เธอบอกกับผมเพียงว่าเป็นน้ำผึ้งที่ครอบครัวของเธอเก็บสะสมมาตั้งแต่อดีตเก่าก่อน และน้ำผึ้งเหล่านี้เองที่ใช้เลี้ยงชีพของเราทั้งคู่ในขณะที่ผมพำนักอยู่ที่นั่น”

“คุณคงสงสัยว่าเราเลี้ยงชีพได้อย่างไร ราวห้าถึงเจ็ดวันจะมีคนเอาสิ่งของที่จำเป็น ไม่ว่าเสบียงอาหารหรือเสื้อผ้าเครื่องใช้อย่างถ่านหรือฟืน ข้าวสารหรือเนื้อสัตว์มาแลกกับน้ำผึ้งดังกล่าว แสงฉานเล่าให้ผมฟังว่าพ่อค้าที่มาแลกสิ่งของกับน้ำผึ้งนั้นจะมาถึงแต่รุ่งสาง โดยทุกครั้งแสงฉานจะเขียนรายการสิ่งของที่เธอต้องการ ซึ่งพวกเขาจะนำมาให้ในครั้งหน้าเป็นรอบๆ ไป และไม่ว่าสิ่งของที่ต้องการจะหายากเพียงใดก็ดูเหมือนผู้แลกจะเสาะหามาให้เราได้”

“ครั้งหนึ่งผมต้องการเทอร์โมมิเตอร์อย่างดีมาตรวจสอบอุณหภูมิของพื้นที่ที่เราอาศัย ในครั้งหน้าเทอร์โมมิเตอร์ที่ผมต้องการก็วางอยู่ตรงโต๊ะหัวเตียงเสียแล้ว”

 

“แต่ว่าคุณพี่ได้เจอพ่อค้าผู้นั้น?”

“ไม่เลย ผมไม่เคยได้พบเขา แม้ว่าผมจะสั่งแสงฉานว่าช่วยปลุกผมหรือไม่ว่าผมจะพยายามข่มตาไม่ให้หลับในวันที่เขาเดินทางมายังเรือนของเรามากเพียงใด ก็เป็นว่าผมจะต้องหลับใหลไม่รู้เรื่องราวทุกครั้งไป รวมความก็คือ ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นั่น ในป่ากับแสงฉาน ผมไม่เคยพบเจอกับมนุษย์ผู้ใดเลยนอกจากแสงฉานบุคคลเดียว”

“แต่จะให้ตัดพ้อกับชีวิตแบบนั้นน่ะหรือ หามิได้ มันกลับเป็นชีวิตที่อิ่มเอมเสียนี่กระไร กับข้าว กับปลา ของกินใดๆ ที่ผมต้องการ แสงฉานเป็นหามาให้ผมได้หมดสิ้น พ้นจากเรื่องกิน เรื่องกามรสก็เป็นสิ่งที่ผมพูดได้ว่ามันช่างหมดจด งดงาม และถึงพร้อมเสียยิ่งกว่าที่ผมเคยประสบมา ก็ในป่าแบบนั้นจะมีอะไรให้ความเพลิดเพลินกับเราได้เท่ากับเรื่องนั้นอีกเป็นไม่มี อีกทั้งการงานของผมก็ไม่มีใดมาก ราวสองอาทิตย์หรือกว่านั้นที่แสงฉานจะบอกกับผมว่าเธอไปพบแหล่งรวงผึ้งแห่งใหม่ในป่าและขอให้ผมไปทำกิจการงานที่จะเอารวงผึ้งนั้นลงมาให้เธอ”

“เช่นดังครั้งแรกที่ผมเผชิญ ผมเพียงแต่ไต่ไปตามพะองที่ใครที่ไหนเล่ามาตอกมันไว้ล่วงหน้าก็ไม่ทราบได้ หลังจากนั้นเมื่อถึงครึ่งทางฝูงลิงสีขาวก็พากันมาลากตัวผมไปจนถึงยอด งานที่ไม่ได้ลำบากยากเข็ญใดๆ เลยเทียวคุณ และถ้าว่ากันแล้วในชีวิตการมีข้าวปลาอาหารและภรรยาแสนงามอยู่เคียงข้างก็ถือว่าพอแล้วกับชีวิตคนใดคนหนึ่ง แต่ก็นั่นเอง ถึงที่สุดมนุษย์เราก็ปรารถนาสังคมอยู่ดี ดังนั้น ในวันหนึ่งผมจึงเอ่ยกับแสงฉานว่าผมอยากกลับไปเยือนบ้านของตน ผมอยากไปพบหน้าพ่อแม่บ้าง”

“และเพียงผมกล่าวเช่นนั้น สีหน้าของแสงฉานก็โศกสลดลงในทันที”