อนุสรณ์ ติปยานนท์ : น้ำผึ้งพระจันทร์

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (45)
ป่าน้ำผึ้ง (10)

“เมื่ออยู่ชิดกัน

ท่ามกลางแสงจันทร์

อันขาวผ่อง

ชื่นใจเราสอง ชวนใคร่

แสงจันทร์นั้นพาเพลินใจ

แสงจันทร์หรือเทียมนวลใย

วิไลกว่าจันทร์เต็มดวง

พรอดคำหวานซึ้ง

ยิ่งกว่าน้ำผึ้ง สุดซึ้งฤดี

โอ้เธอเท่านี้ พี่ห่วง

ขอให้เหมือนผึ้งปองรวง

รักพี่นี้มอบเต็มทรวง

เหมือนผึ้งสุดหวงรวงรัง”

“น้ำผึ้งพระจันทร์ ผู้แต่ง สุรัฐ พุกกะเวส”

 

“ผมลุกออกจากที่นั่ง ไม่แยแสผู้คนรอบๆ ภาพที่ปรากฏอยู่บนผ้าทอผืนนั้นมีอำนาจต่อดวงจิตของผมอย่างมหาศาล ผมเดินตรงไปยังตำแหน่งของภาพที่เผยให้เห็นถึงตัวผมและแสงฉาน ไม่น่าเชื่อว่าแม้มันจะถูกทอด้วยเส้นด้ายธรรมดา แต่ทว่าภาพที่ปรากฏอยู่ตรงนั้นกลับสมจริงมากเหลือเกิน”

ชายหนุ่มเติมน้ำร้อนลงในแก้วให้มิตรอาวุโส มีเสียงไก่ขันมาแต่ไกล ในขณะที่เสียงจักจั่นและเรไรเงียบลง มีแสงเรื่อแดงที่ขอบฟ้าตะวันออก ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขานั่งอยู่ด้วยกันจนรุ่งสาง หลวงบุเรศรฯ ยกแก้วน้ำร้อนขึ้นดื่ม หลังการดื่มน้ำร้อนจนหมดแก้ว เขาถามชายหนุ่มว่า

“เบื่อหรือง่วงแล้วหรือยังคุณ ใกล้เช้าเต็มที ถ้าเบื่อก็บอกผมได้ มันขวยใจอยู่เหมือนกันที่เอาเรื่องของตนเองมาเล่าเป็นคุ้งเป็นแควแบบนี้”

“มิได้ครับ คุณพี่” ชายหนุ่มตอบ “ผมสนใจในเรื่องของคุณพี่มากทีเดียว ผมเองต่างหากที่เกรงใจคุณพี่ที่มีน้ำใจถ่ายทอดเรื่องส่วนตัวให้ผมฟัง”

“นึกๆ ดู มันก็แปลกเอาการที่ไอ้เรื่องที่ว่านี้มันมีผลต่อชีวิตผมในภายหลังมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ผลข้อแรกของมันก็คือการที่มันทำให้ผมมาออกตามหาน้ำผึ้งตามภาพที่ปรากฏในผ้าทอผืนนั้น ไปมันร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเพื่อหาน้ำผึ้งจากที่ต่างๆ เพื่อลิ้มรสน้ำผึ้งที่มีรสแตกต่างกันออกไป ผึ้งแต่ละรังให้รสชาติที่ต่างตามดอกไม้ที่มันไต่ตอมมา ผมลิ้มรสน้ำผึ้งมาแล้วน่าจะนับเป็นร้อยๆ รัง แต่จะหารสชาติที่เหมือนกันนั้น ไม่มีเลย”

“คุณพี่จะบอกว่าที่คุณพี่ออกตามหาน้ำผึ้งนั้น?” ชายหนุ่มฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา

“ใช่ คุณเข้าใจถูกแล้ว ที่ผมออกตามหาน้ำผึ้งไม่หยุดหย่อนนั้นเป็นเพราะเธอ ชีวิตของผมเปลี่ยนไปเพราะเธอ หญิงสาวผู้นั้น” ชายสูงวัยที่เห็นป่าเขาเป็นดังชีวิตถอนหายใจ

“เรื่องราวที่ผมเล่ามาก่อนหน้าอาจฟังดูไม่น่าเชื่อถือ อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล แต่นับแต่นี้ ผมต้องขอบอกคุณว่าหากคุณไม่ปรารถนาจะเชื่อถือถ้อยคำผมหรือเรื่องราวในนั้นแม้แต่คำเดียว ผมก็จะไม่ถือสาหาความอะไรเลย ขอให้ถือเสียว่าเป็นการสาธยายความในใจของผมแต่ฝ่ายเดียวเถิด”

ชายหนุ่มผงกศีรษะเป็นการตอบรับเบาๆ

 

“ผมยืนจ้องมองดูภาพตนเองที่ปรากฏอยู่ในผ้าทอผืนนั้นจะนานเพียงใดไม่รู้ได้ ผมรู้แต่เพียงว่าผมถูกดึงดูดเข้าไปในภาพนั้นอย่างลึกซึ้ง แสงแดดรอบตัวผมในยามเช้าเปลี่ยนเป็นแสงแดดยามสาย แสงแดดยามสายเปลี่ยนเป็นแสงแดดยามบ่าย และแสงแดดยามบ่ายเปลี่ยนเป็นแสงแดดยามเย็น ผมรู้สึกได้ว่าผู้คนบนศาลาทั้งฆราวาสและพระภิกษุทยอยเลือนหายไปจากศาลา ที่ผมกล่าวว่าเลือนหายเพราะผมไม่ได้ยินเสียงการเคลี่อนไหวใด หากแต่ผู้คนรอบๆ นั้นค่อยจากไปทีละคนอย่างเงียบเชียบ พวกเขาระเหยหายไปราวกับน้ำค้างที่ต้องแสงแดดฉะนั้น”

“คงมีแต่แสงฉานที่ผมรู้สึกว่าเธอยังคงอยู่บนศาลาแห่งนั้น แม้ว่าผมจะไม่หันหลังมองย้อนกลับไป แต่ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเธอ ของการดำรงอยู่ของเธอ ผมยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น จนเสียงเรียกของเธอดังขึ้นว่า “ระวังตัวด้วยนะพี่ อย่าให้พลาดพลั้งไป””

“ผมหันไปตามเสียงเรียก แต่แทนการเห็นแสงฉานนั่งอยู่บนศาลาดังเดิม ผมกลับเห็นแสงฉานยืนรอผมอยู่ที่พื้นดินเบื้องล่าง เธอยังอยู่ในชุดแต่งกายเดิมเป็นของแน่ ผ้าซิ่นที่เชิงของมันมีลวดลายลูกแก้ว เสื้อผ่าอกแขนยาว แต่เธอยืนอยู่บนพื้นดินที่ห่างไกลจากผม ส่วนผมนั้นกำลังเกาะเกี่ยวอยู่กับพะองที่ตอกติดกับต้นไม้ใหญ่ ผมกำลังปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เหนือศีรษะผมขึ้นไปไกลลิบเป็นรังผึ้งขนาดใหญ่ ผมได้กลายเป็นภาพของตนเองที่ปรากฏอยู่บนผ้าทอผืนนั้นไปแล้ว ผมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพนั้นเสียแล้ว”

“ความตกตะลึงพรึงเพริดอันมหาศาลเกิดขึ้นกับผม กาละและเทศะที่เคยมีดังปกติได้บิดเบี้ยวไปแล้วหรือไฉน ความจริงคือสิ่งใด ผมฉงนฉงายเป็นที่ยิ่ง ผมสัมผัสผิวของต้นไม้ที่ผมกำลังไต่ขึ้นไป มันมีความหยาบ ขรุขระจนรู้สึกได้ นี่คือความจริง ผมสูดอากาศ หายใจเอาอากาศรอบๆ มันมีความหนาวเย็นรอบๆ ผมรู้สึกได้ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ณ ขณะนั้นคือความจริง ไม่มีศาลา ไม่มีผู้คน มีเพียงผมกับแสงฉานและรังผึ้งขนาดใหญ่ที่รอผมไปพิชิตมัน ไม่มีความจริงแบบอื่นอีก”

“ผมมองลงเบื้องล่างอีกครั้ง แสงฉานมองย้อนขึ้นมาด้วยท่าทีกังวล เดินหน้าต่อหรือถอยหลังเพียงเท่านี้ หากนี่เป็นความฝัน ผมควรไต่กลับลงไปหาแสงฉาน ลงไปถามเธอให้ได้ความจริง ขอให้เธอพาผมกลับที่พัก ผมไม่เคยตีผึ้ง ผมไม่เคยหาน้ำผึ้งมาก่อน ผมไม่อาจทำภารกิจที่ว่านี้ได้”

“แต่แทนที่จะกระทำเช่นนั้น ผมกลับหันหลังกลับ มุ่งหน้าไต่ขึ้นไป เท้าของผมทดสอบน้ำหนักของพะอง ก่อนจะขยับแข้งขาทีละก้าว ทีละก้าว มีเม็ดเหงื่อซึมออกที่ปลายมือ เสียงลมที่พัดแรงอยู่รอบๆ ทำให้ผมเข้าใจชีวิตของคนตีผึ้งและคนหาน้ำผึ้งขึ้นมา”

 

“ผมไต่ขึ้นไปจนถึงครึ่งทาง ภาพของแสงฉานที่พื้นดินกลายเป็นจุดเล็กๆ ผมรู้ดีว่าพ้นจากตำแหน่งนี้แล้ว ผมไม่อาจถอยหลังกลับได้อีก บนไหล่ของผมมีอุปกรณ์สำหรับการไล่ผึ้ง ในย่ามของผมมีไม้ขีดไฟ มีที่สำหรับใส่รังผึ้ง ผมมีทุกอย่างครบถ้วน นอกเหนือจากนี้เป็นเรื่องความกล้าของผมเท่านั้น”

“ทว่าความกล้าดังกล่าวดูจะไม่เพียงพอ บางสิ่งที่เหมือนดังเป็นภาพมายาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เหนือศีรษะของผมขึ้นไปมีฝูงลิงฝูงหนึ่งกำลังไต่สวนทางลงมา มันเป็นลิงเผือกที่มีขนสีขาว พวกมันดาหน้าลงมาหาผม ในช่วงเวลานั้นเอง ความกลัวทั้งมวลที่ผมเคยเผชิญมาทั้งชีวิตกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานั้น ไม่มีทางหนี ไม่มีทางเลือก ผมคิดว่าหากผมจะร่วงหล่นลงไปเป็นทรากของสิ่งมีชีวิต ผมก็จะตายในอ้อมแขนของแสงฉาน ซึ่งนับว่าดีมากแล้วสำหรับมนุษย์ผู้โดดเดี่ยวอย่างผม ผมยินดีที่จะจากโลกนี้ไปในลักษณะเช่นนั้น ผมหลับตาเอามือจับพะองที่อยู่เหนือขึ้นไปและพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น”

“แต่แล้วการณ์กลับปรากฏว่าฝูงลิงเหล่านั้นไม่ได้ตั้งใจทำร้ายผม จ่าฝูงของมันหันหลังกลับและยื่นหางสีขาวให้ผม มือของผมจับเข้าที่หางของมันและแทนการคืบคลานไปอย่างช้าๆ เจ้าจ่าฝูงตนนั้นดึงผมให้โลดตะบึงไปอย่างรวดเร็วบนไม้สูงต้นนั้น”

“ชั่วอึดใจเดียวผมก็ถึงยังรวงผึ้งบนสุดยอดคาคบนั้น”

 


กว่า 12 ปี ของการจัดงาน Healthcare เครือมติชนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ส่งต่อความรู้และให้บริการสุขภาพแก่คนไทยในทุกมิติ ทั้งการป้องกัน ดูแล และรักษา โดยเฉพาะการบริการตรวจสุขภาพฟรีจากสถานพยาบาลชั้นนำ เวิร์กชอป ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงการยกระดับเวทีเสวนาให้เป็น “Health Forum” เปิดเวทีให้แพทย์ และ Speaker ระดับประเทศ มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการป้องกัน การรักษา และนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงเรื่องราวสุขภาพในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมาให้อัปเดตตลอด 4 วันของการจัดงาน เดินทางสะดวกโดยทางด่วนและ MRT ลงสถานีสามย่าน ทางออกที่ 2