ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 สิงหาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
ผู้ที่ติดตามการเมืองสหรัฐอเมริกา คงอาจจะร่วมลุ้นกันอยู่ว่า โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ในวัย 78 ปี ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่บารัค โอบามา ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐในการบริหารประเทศมานาน 8 ปีเต็ม จะเลือกใครมาเป็นคู่หูของเขาในการลงสังเวียนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีสหรัฐในศึกเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายนที่จะถึง
แต่ที่รู้กันแน่ๆ คือ คู่หูของไบเดนที่จะมาเป็นรองประธานาธิบดี หากเขาเป็นฝ่ายคว้าชัยเหนือโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้กุมเก้าอี้ประมุขทำเนียบขาวจากพรรครีพับลิกันอยู่ในขณะนี้ จะต้องเป็นผู้หญิง!
เพราะไบเดนเอ่ยปากลั่นวาจาต่อสาธารณชนไว้แล้วว่า คู่หูของเขาจะเป็นผู้หญิง
ท่ามกลางบริบทแวดล้อมในขณะนี้ จะทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้เป็นหนึ่งในศึกชิงอำนาจครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐเมื่อเร็วๆ นี้ เนื่องจากมีขึ้นท่ามกลางการเผชิญวิกฤตสาธารณสุขจากสถานการณ์แพร่ระบาดหนักของโรคโควิด-19 ที่ทำให้สหรัฐครองแชมป์ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก ซึ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจของสหรัฐให้ตกต่ำทรุดหนักลงไปด้วย
ขณะที่แผ่นดินต้องลุกเป็นไฟจากการลุกฮือต่อต้านการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ อันมีชนวนเหตุจากการเสียชีวิตของ “จอร์จ ฟลอยด์” หนุ่มผิวสีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ด้วยน้ำมือของตำรวจอเมริกันผิวขาว จนเกิดการเคลื่อนไหวประท้วงของกลุ่มแบล๊ก ไลฟ์ แมตเทอร์ส ที่พากันออกมาทวงคืนความยุติธรรมให้แก่จอร์จ ฟลอยด์ ก่อนที่กระแสต่อต้านการเหยียดผิวจะลุกลามไปทั่วโลก
ปมปัญหาข้างต้นได้ฉุดกระชากคะแนนนิยมในตัวทรัมป์ให้ถดถอยลงไปไม่น้อย
ดูได้จากโพลสำรวจความนิยมของสำนักจัดทำโพลหลายแห่งที่มีการเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ชี้ว่าไบเดนยังคงมีคะแนนนิยมนำห่างทรัมป์อยู่มากถึงเกือบ 10 จุด
นั่นหมายความว่า ไบเดนยังคงอยู่ในจังหวะที่ได้เปรียบทรัมป์อยู่ ฉะนั้น การเลือกตัวเลือกที่ดีและโดดเด่นมาเป็นคู่หูของเขา ก็ยังเป็นอีกจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ไบเดนได้ก้าวกลับเข้าไปครองทำเนียบขาวได้มากยิ่งขึ้น
รายงานข่าวจากหลายแหล่งบอกว่า ไบเดนและทีมงานของเขากำลังง่วนอยู่กับการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมที่จะมาเป็นคู่หูของไบเดนในการชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
ขณะที่เหลือเวลาเพียงไม่เท่าไรที่ไบเดนจะต้องประกาศตัวคู่หูของเขาว่าเป็นใคร ก่อนหน้าการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตจะมีขึ้นในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ เพื่อรับรองการเสนอชื่อไบเดนและคู่หูของเขาเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตไปสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี
แหล่งข่าววงในที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหาแย้มพรายว่า หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการพิจารณาบุคคลที่จะมาเป็นคู่หูของไบเดน ไม่เพียงดูจากบทบาทความสามารถและความนิยมของผู้สมัครที่เป็นตัวเลือกแต่ละคนเท่านั้น
อีกองค์ประกอบสิ่งสำคัญคือ จะต้องดูว่าตัวเลือกนั้นมี “เคมี” ที่เข้ากันได้ดีกับไบเดนด้วยหรือไม่ นอกเหนือจากความเชื่อมั่นไว้วางใจได้
แหล่งข่าววงในยังเผยกับเอ็นบีซีนิวส์ว่า ภายในสัปดาห์นี้ไบเดนจะต้องตัดทอนตัวเลือกที่มีอยู่ในมือให้เหลือ 3 หรือ 4 คน ให้ได้ก่อนที่จะมาพูดคุยกันแบบตัวต่อตัว
ยังมีความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญอย่างเดวิด บาร์เกอร์ นักวิชาการจากอเมริกัน ยูนิเวอร์ซิตี้ บอกว่า ตัวเลือกที่จะมาเป็นคู่หูของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นอีกหนึ่งสิ่งในการตัดสินใจที่สำคัญของการมุ่งสู่ทำเนียบขาว
แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ตัวเลือกนี้ยังมีความสำคัญมากกว่าปกติ เพราะด้วยไบเดนเองนั้นมีอายุมากแล้ว คือ 78 ปี
ซึ่งเป็นที่คาดหมายว่าหากไบเดนชนะเลือกตั้ง ก็จะอยู่ในตำแหน่งเพียงสมัยเดียว
ใครที่มาเป็นคู่หูของเขา ก็ถูกคาดหมายว่าจะได้รับไม้ต่อจากไบเดนให้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยต่อไปอย่างที่เคยมีมา
นั่นทำให้เรื่องอายุเป็นอีกตัวแปรที่จะต้องพิจารณา
นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงประเด็นตัวเลือกคู่หูไบเดน ที่เป็นบุคคลผิวสี ซึ่งอาจเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน เพื่อหวังดึงเสียงสนับสนุนจากอเมริกันชนผิวสี ท่ามกลางกระแสต่อต้านการเหยียดผิวในสหรัฐ
ตอนนี้มีรายชื่อผู้สมัครหญิงที่ถูกมองว่าจะเป็นตัวเลือกของไบเดนปรากฏเป็นกระแสข่าวหลายคน หนึ่งในชื่อที่มีการพูดถึงกันหนักคือ คามาลา แฮร์ริส วุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย เชื้อสายจาเมกา-อินเดีย วัย 55 ปี ที่ก่อนหน้านั้นสร้างประวัติศาสตร์เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันคนแรกที่ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียและเป็นวุฒิสมาชิกผิวสีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์สหรัฐ
แฮร์ริสยังเคยมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับลูกชายของไบเดนที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ในการหาเสียงเพื่อชิงการเป็นตัวแทนพรรคลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในพรรคเดโมแครต แฮร์ริสกลับงัดเรื่องนโยบายด้านเชื้อชาติขึ้นมาโจมตีไบเดน
ทว่าในสมุดโน้ตที่อยู่ในมือไบเดน ซึ่งถูกช่างภาพจับภาพได้เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เผยให้เห็นชื่อของแฮร์ริส พร้อมข้อความชื่นชม ถูกเขียนอยู่ในสมุดโน้ตเล่มนั้นของไบเดน
ยังมีชื่อซูซาน ไรซ์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงในรัฐบาลโอบามา ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน-แอฟริกัน วัย 55 ปี และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญด้านนโยบายต่างประเทศในรัฐบาลโอบามา
ถือว่าเป็นบุคคลที่ทำงานใกล้ชิดสนิทสนมกับไบเดนมาก่อน
ไรซ์ยังเป็นผู้ที่โจมตีทรัมป์อย่างหนักต่อการจัดการกับวิกฤตโควิด-19 ในสหรัฐและการต่อต้านการเหยียดผิว ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดูมีภาษีอยู่
หากไม่มองจุดอ่อนของไรซ์ที่เคยถูกวิจารณ์หนักในกรณีเหตุโจมตีสถานกงสุลสหรัฐในเมืองเบงกาซี ประเทศเลบานอน ในปี 2012 ซึ่งก็อาจทำให้กลับกลายมาเป็นจุดอ่อนของทีมไบเดนได้
คาเรน บาสส์ ส.ส.รัฐแคลิฟอร์เนีย ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน วัย 66 ปี และผู้เสนอร่างกฎหมายจอร์จ ฟลอยด์ ก่อนหน้านี้เป็นม้านอกสายตา
แต่ชื่อของเธอถูกพูดถึงมากขึ้น จากชื่อเสียงในเรื่องความสามารถและการเป็นคนทำงานหนัก ซึ่งถูกมองว่าจะเป็นมือขวาที่ไว้ใจของไบเดน เหมือนที่ไบเดนเป็นให้กับโอบามา
อีกหนึ่งหญิงแกร่งที่สื่อยักษ์ใหญ่สหรัฐพูดถึงคือ แทมมี่ ดักเวิร์ธ อดีตทหารผ่านศึกและวุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ ชาวอเมริกันเชื้อสายไทย วัย 52 ปี ผู้ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไปในสงครามอิรัก แม้จะถูกมองว่ามีประวัติการทำงานระดับชาติน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตัวเลือกที่ถูกพูดถึงคนอื่นๆ
แต่กลุ่มผู้สนับสนุนบอกว่า แทมมี่ ดักเวิร์ธ ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงานในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติ จากความสำเร็จในการผลักดันกฎหมายต่างๆ และยังถือเป็นผู้ที่มีความยืดหยุ่นทางการเมือง
แต่สุดท้ายแล้วชื่อไหนจะเข้าวินก็ต้องรอไบเดนฟันธง ที่อาจจะทำให้เธอได้สร้างประวัติศาสตร์ กลายเป็นรองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐด้วย