การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ แม้อยู่แห่งหนใดไม่เหมือนบ้าน

“มึงไปเถอะอ้ายหมารอยอย่าคอยอีก!”

อยากจะฉีกกระดาษเขวี้ยงขึ้นเสียงใส่

“พี่นักกลอนนอนเล่นหำก็ทำไป!

จงรู้ไว้ไม่แต่งโว้ย! ช่วยจำนะ!”

 

…แดดค่อยค่อยสาดมาเวลาเช้า

ลืมตาได้กลิ่นข้าวในกระบะ

แม่คงคนอะไรในกระทะ

เสียงเปรี๊ยะปร๊ะฟืนถ่านงานในครัว

 

ลืมตามองเพดานอันคุ้นเคย

กระไรเลยหน่วงหนึบปวดตึบหัว

แสบจมูกเหมือนไข้ผ่าวไอตัว

ใจนึกกลัวถ้าป่วยไข้อย่างไรดี

 

มีช้างอีกไม่กี่เชือกที่เลือกเก็บ

หากมาเจ็บนอมซมจมที่นี่

ต่อให้เป็นสถานอันคุ้นดี

หรือจะมีหน้าจ้องมองผู้ใด

 

ดังเอาตัวไม่รอดกอดเกาะญาติ

แสนอนาถตัวตนจนเติบใหญ่

ตีนจะเท่ากาบหมากลากรอยไว้

ยังต้องให้พี่สาวกล่าวคำดัง

 

“มันก็เป็นอย่างนี้แหละอีแม่

นิสัยแย่อย่างนี้รึมีหวัง!

สร้างปัญหาเดือดร้อนก่อนกี่ครั้ง

แม่พ่อยังลำเอียงเลี่ยงปิดตา

 

ทีข้าเจ้าทำงานมานานเนิ่น

คอยส่งเงินทองให้เหมือนไร้ค่า!

พ่อต้องการสิ่งใดให้เสาะมา

ถึงหยูกยาข้าเจ้าเอาประเคน!

 

แต่ลำบากอย่างนี้หาดีไม่

มานะสักเท่าไรไม่เคยเห็น

อีพ่อทำบุญพระไม่ละเว้น

เพราะใครเป็นแรงหนุนปูนปิดทอง!

 

ข้าเจ้านี่! ที่อกแตกตกเจ็บ

ได้แต่เก็บขมขื่นกลืนเลือดหนอง

มีคนนอนสบายก่ายหมอนกอง

ข้าเจ้าต้องเหนื่อยฉิบหายในทุกวัน!”

 

เสียงคุ้นหูพรูคำเหมือนน้ำเชี่ยว

เสียดสีอยู่เลาะเลี้ยวว่ากล่าวฉัน

พ่อกระแอมเสียงต่ำสิ้นจำนรรจ์

ขณะแม่พูดสั้นสั้น “งั้นก็ไป”

 

“จะให้มันไปไหนทางใดแม่!

นิสัยแย่อย่างนี้ไปที่ไหน!

กี่ครั้งคราวเข้าช่วยด้วยตั้งใจ

สิ่งที่ได้คือมันยิ่งบั่นทอน!”

 

“เออ! มันเป็นอย่างนี้อีพี่น่ะ!

เป็นภาระเพราะไม่ได้สั่งสอน!

ขอบใจมึงอุตส่าห์มาย้ำย้อน!

การกินนอนของน้องมึงกูซึ้งนัก!”

 

“อีแม่ก็พูดได้ในคำฟู่!

อีพ่อดู! แค่ว่าก็หน้าหัก!

นี่ละหนาลูกเลี้ยงเหมือนเมี่ยงวัก!

เขาจะตักเข้ากลืนคงขื่นคอ!”

 

“เอาน่าค่อยพูดจากันนะลูก

รู้ผิดถูกทางไกลค่อยไปต่อ”

“ไม่ต้องไกลไม่ต้องเกิน! เดินกันพอ

ข้าเจ้าฟังคำพ่อมาพอแล้ว!”

 

มีจมูกเพื่อหายใจในวันคืน

เพื่อจะตื่นยินสายน้ำไหลแผ่ว

กับหม่นมัวขี้มอดตลอดแนว

จนใสแววดาวใดให้เกรอะกรัง

 

ชีวิตคือภาระใช่หรือไม่

เฉกจอกแหนลอยไปไม่รู้ฝั่ง

พอกขยะพันตัวชั่วหมื่นครั้ง

ทุเรศอยู่ทุรังอย่างอับจน

 

แต่เพราะเราเป็นคนจนหรือไม่

จึงป่ายปีนกันไปในขัดสน

ที่แย่งชิงวิ่งลู่อยู่เวียนวน

เขละขละชนผลักไสไล่กันเอง

 

แผ่นฟ้ากว้างกว่านี้ที่ว่ากว้าง

ที่ไหนบ้างจะปราศการข่มเหง

เพียงสิ้นสุดพูดถ้อยร้อยบรรเลง

ยิ่งคิดยิ่งวังเวงในสำนึก

 

“พี่! ตื่นแล้วหรือยังยังไม่ตื่น

เห็นเมื่อคืนจุดเทียนเขียนถึงดึก

มาพูดกันจะจะว่าเรื่องลึก

ลูกคิดนึกอย่างไรในเรื่องตัว”

 

เสียงฝีเท้าก้าวมา, ชายผ้าซิ่น

สะบัดไหวได้ยินก้องในหัว

วูบหนึ่งเหมือนใจพลันสั่นริกรัว

ดีหรือชั่วยังมีนกในอกฉัน

 

มีทางเลือกกี่ทางระหว่างนี้

กี่ครั้งที่บินโบยโดยแสนสั้น

กี่หนต้องพลัดพรากไปจากกัน

กี่คืนวันเราทุกข์ยากเรื่องปากท้อง

 

การจะมีชีวิตอยู่ไม่ใช่ง่าย

หากการตายก็เกินเป็นเส้นแสงส่อง

เมื่อทุกอย่างขีดกั้นแจ้งครรลอง

ให้เราต้องก้มหน้าในค่านิยม

 

“ตื่นแล้วแม่! เดี๋ยวนะจะลงไป”

ตะโกนตอบพลางไสผลักผ้าห่ม

จังหวะหนึ่งดั่งคล้ายมีสายลม

พรูผสมล่องรินกลิ่นน้ำตา

 

ทว่าคือน้ำตาใครในบัดนี้

จากแม่ที่อายอับยามรับหน้า

หรือหยดใสในอกที่ตกมา

เมื่อพลันคิดตกว่าจะต้องไป

 

แม้อยู่แห่งหนใดไม่เหมือนบ้าน

แต่จะพักอยู่นานหาควรไม่

นกขมิ้นหลงคอนจงร่อนไป

เสาะใบแดงมาให้พอใจเขา