ยิ่งอยู่ ยิ่งแน่น มี “บิ๊กตู่” ก็ต้องมี “บิ๊กป้อม” กองทัพพร้อมสู้ทุกศึก “บิ๊กเจี๊ยบ” ปรับตัว-ปรับทัพ จับตา “ทีมเวิร์ก” รบพิเศษ

ยิ่งอยู่ ยิ่งแน่น มี “บิ๊กตู่” ก็ต้องมี “บิ๊กป้อม” กองทัพพร้อมสู้ทุกศึก “บิ๊กเจี๊ยบ” ปรับตัว-ปรับทัพ จับตา “ทีมเวิร์ก” รบพิเศษ

ไปๆ มาๆ รัฐบาล คสช. ของ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อยู่มาถึง 3 ปี จะครบรอบ 22 พฤษภาคม 2560 นี้ และจะอยู่ไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งในปลายปี 2561 นั่นหมายถึง คสช. คุมอำนาจนานกว่า 4 ปี

กลายเป็นรัฐบาลของคณะรัฐประหาร ที่นั่งเป็นรัฐบาลเองยาวนานที่สุดของคณะรัฐประหารในยุคใหม่ แถมคนที่เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเองเสียด้วย ไม่ได้ตั้งนายกฯ พลเรือนมาเป็นหุ่นเชิดบังหน้า

ตั้งแต่กรำศึกคนเสื้อแดง ตอนที่เป็น ผบ.ทบ. จนมาเป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงช่วงเปลี่ยนผ่านในเวลานี้ ก็ต้องยอมรับว่า คะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ได้ตกลงไปมากนัก ถึงจะเริ่มมีกระแสเรื่อง “ขาลง” ก็ตาม

แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีทหาร ที่มีอำนาจมาตรา 44 อยู่ในมือ แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะง่ายดาย เป็นไปตามที่คาดคิดหรือวางแผนไว้

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันนี้ วัย 63 ปี จะมีริ้วรอยแห่งวัย และความเครียดมากขึ้น

ประกอบกับเป็นนายทหารที่มีความตั้งใจสูง จริงจังไปกับทุกเรื่อง และด้วยความเป็นนายกฯ และหัวหน้า คสช. จึงต้องแบกรับทุกเรื่องไว้บนบ่า

แต่ใครๆ ก็เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีวันท้อแท้ หรือท้อถอย และไม่ยอมแพ้ ซึ่งเจ้าตัวก็ประกาศเช่นนี้บ่อยๆ

ไม่ใช่แค่เวลาที่เหลือของรัฐบาล คสช. อีกกว่า 1 ปีเท่านั้น แต่หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็พร้อมเดินหน้า แบบที่เรียกว่า ไม่มีถอดใจ

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นด้วยแล้ว บิ๊กๆ ทหารในกองทัพ และหน่วยคุมกำลัง พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ต้องพี่ตู่ ถึงจะเอาอยู่” ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม

นั่นหมายถึงบรรดาแม่ทัพนายกอง ผบ.หน่วยคุมกำลัง ยังคงมีความเชื่อมั่น ศรัทธาในตัว พล.อ.ประยุทธ์ แบบแน่วแน่ ไม่เสื่อมคลาย ในการเป็นผู้นำประเทศ และในขณะเดียวกัน เสมือนเป็นผู้นำทางทหารที่มีความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด มีแผน มีความรอบคอบ

แม้ คสช. จะมี บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม คุมกองทัพ เป็นพี่ใหญ่ที่เปี่ยมบารมี แต่ก็ช่วยได้ในแง่การ หลอมรวมให้น้องในกองทัพ ยังเหนียวแน่นเป็นหนึ่ง ไม่แตกแยก จนกลายเป็นหอกข้างแคร่รัฐบาล คสช.

แต่ทว่า ก็ขาด พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีความเป็นผู้นำ และมีความมั่นใจในตัวเองสูง มีทั้งความบู๊และบุ๋นในตนเองไปไม่ได้

แม้จะมีความพยายามในการทำให้บิ๊กตู่และบิ๊กป้อมเกิดความหวาดระแวง หรือขัดแย้งกันด้วยข่าวลือต่างๆ โดยเฉพาะข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ที่มักจะสะกิดมาที่บิ๊กป้อมเสมอๆ ที่ทำให้บิ๊กป้อมน้อยใจอยู่ทุกครั้ง เพราะอุตส่าห์เสียสละช่วยงาน ทั้งๆ ที่ 72 แล้ว จนถึงขั้นหลุดปากว่า “ผมพร้อมออก”

แต่ทหารในกองทัพ โดยเฉพาะใน ร.21 รอ. และ พล.ร.2 รอ. รู้กันดีว่า มีบิ๊กตู่ ก็ต้องมีบิ๊กป้อม แยกกันไม่ได้ ที่จะทำให้ คสช. แข็งแกร่ง

“ไม่ปรับ ถ้าไม่ปรับผมออก แล้วสื่อที่เขียน จะรับผิดชอบมั้ย” บิ๊กป้อมส่งสัญญาณความมั่นใจในตนเอง

นั่นเป็นเหตุผลว่า ตราบใดที่เป้าหมายยังไม่บรรลุ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ยอมให้ “เสียของ” เป็นอันขาด ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรในเบื้องหน้าก็ตาม

สูตรอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้งในปลายปี 2561 จะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ แต่คอการเมืองเชื่อมั่น “เชื้อทหาร เชื้อ คสช.” จะยังคงแฝงอยู่

โดยที่ พล.อ.ประวิตร และคอนเน็กชั่นในวงการเมือง และกลุ่มทุน ยังคงถูกจับตามองว่ามีความเคลื่อนไหว

และยังคงเชื่อว่า หากถึงขั้นที่ต้องมีนายกรัฐมนตรีคนนอก ก็จะต้องมีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ รวมอยู่ด้วย แล้วหากทุกอย่างเอื้ออำนวย พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะไม่ปฏิเสธ

แต่ทั้งนี้ ก็ต้องรอดูผลการเลือกตั้ง ที่ไม่มีใครอาจหยั่งรู้การตัดสินใจของประชาชนได้ เพราะหาก คสช. ไม่อาจทวนกระแสประชาธิปไตย จนถึงขั้นไม่เปิดช่องให้มีนายกฯ คนนอกได้

ก็เชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะต้องทำหน้าที่ในรูปแบบอื่น โดยเฉพาะในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่จะมีขึ้นตาม พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ที่ตอน สนช. นำโดย บิ๊กตี๋ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร อดีต ผบ.สส. เพื่อน ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ นำทีมร่าง พร้อมด้วย บิ๊กอ้อ พล.อ.วิลาส อรุณศรี เลขาธิการนายกฯ และเพื่อนรักบิ๊กตู่ ที่ก็เคยเป็นหัวหน้าทีมร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ก่อนหน้านี้

จับจ้องกันว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่จะต้องมีปลัดกลาโหม ผบ.สส. ผบ.เหล่าทัพ ร่วมอยู่ด้วยนั้น เป็นไอเดียของบิ๊กตู่ตั้งแต่แรกๆ ที่จะให้เป็นคณะกรรมการที่แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ หรือนักการเมืองกับทหาร ที่อาจนำไปสู่การรัฐประหาร

หรือเรียกว่า เป็นคณะกรรมการที่ป้องกันการรัฐประหาร เช่นที่ พล.อ.ประวิตร บอกว่า ประเทศเราไม่เหมือนใคร จะทำอะไรจะต้องให้ ผบ.เหล่าทัพ รับรู้รับทราบก่อนว่าจะทำอะไร คุยกัน เจรจากัน จะได้ไม่ขัดแย้ง แม้จะไม่อาจเป็นหลักประกันในการรัฐประหารได้ แต่อย่างน้อยก็ได้คุยกันก่อน

แต่ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการนี้ก็อาจถูกมองว่า สามารถเกิดรัฐประหารเงียบขึ้นได้เสมอ หากว่า ผบ.เหล่าทัพ ไม่เอาด้วย ไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ทำ และกลายเป็นคณะกรรมการที่จะคอยควบคุมการทำงานของรัฐบาล ให้เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ที่จะออกมาเป็นพระราชบัญญัติในอนาคต

“ต้องมี ผบ.เหล่าทัพ เป็นเรื่องดี ไม่ได้เสียหาย มีอะไรจะได้คุยกัน จะทำอะไร จะต้องให้ ผบ.เหล่าทัพ รับรู้รับทราบก่อน” บิ๊กป้อมสำทับ

ยกเว้นเสียแต่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไปทำหน้าที่อื่น ที่พ้นวงจรการเมืองไปเสียก่อน

ดังนั้น ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จึงยังคงถูกจับตามอง ในฐานะนายกฯ คนนอก อยู่อย่างเหนียวแน่น

นั่นจึงทำให้กระแสข่าว “นายกฯ สำรอง” ที่พุ่งไปที่ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. นั้น ไม่ได้เชี่ยวกราก แต่ทว่า ก็ยังคลอกระแส ถึงขั้นที่มีเสียงพูดตรงกันหลายคนว่า นายกฯ คนต่อไปจะเป็นเตรียมทหารรุ่น 16 ซึ่งก็หมายถึง พล.อ.เฉลิมชัย คนนี้นั่นเอง

ในเมื่อยังสยบกระแสข่าวนี้ไม่ได้ พล.อ.เฉลิมชัย จึงต้องยิ่งระวังตัวมากขึ้นหลายเท่า พร้อมๆ กับการลดบทบาท

อีกทั้งรู้ดีว่า มีคนบางกลุ่มพยายามที่จะตอกลิ่มให้เกิดความหวาดระแวงระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.เฉลิมชัย ด้วยการปล่อยข่าวกระแสปฏิวัติซ้อนเป็นระยะๆ

บิ๊กเจี๊ยบจึงยิ่งต้องเดินตัวลีบๆ หลบมุม โดยเฉพาะการไม่ต้องออกข่าวบ่อยๆ ไม่ต้องให้สัมภาษณ์บ่อย หรือโปรโมตตัวเองตามคำแนะนำของ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ให้พรเอาไว้เมื่อช่วงสงกรานต์

“ไม่ต้องโฆษณาตัวเอง แบบนี้ดีแล้ว ป๋าชอบ” พรจากป๋า

แม้แต่การไปรดน้ำอวยพรขอพรสงกรานต์ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ พี่เลิฟสายรบพิเศษ ที่ทำงานใกล้ชิดกันมานาน พล.อ.เฉลิมชัย ก็แอบๆ ไปเงียบๆ ถึงขั้นต้องหลอกล่อนักข่าว ไม่ให้มาทำข่าว มาเฝ้าติดตาม เพราะไม่อยากให้มีใครเอาข่าวไปเป็นประเด็น

รวมถึงไม่ต้องการให้เอิกเกริก ด้วยการไปแบบเงียบๆ ไม่แจ้งทีมงานสำนักงานเลขานุการ ทบ. แถมเปลี่ยนรถ ไม่นั่งรถตำแหน่งที่เคยใช้ทุกวัน ไปพบบิ๊กแอ้ดที่มูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรมฯ ด้วย

ระวังตัวถึงขั้นที่ไม่อยากจะให้ใครเอาไปเฉียด หรือเทียบเคียงกับ พล.อ.ประยุทธ์

แม้แต่การลงชายแดนใต้ครั้งล่าสุด ที่บิ๊กเจี๊ยบก็ไปอย่างเงียบๆ ไม่แจ้งสื่อ ไม่บอกใคร แบบที่เรียกว่า need to know เท่านั้น ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย และไม่เอิกเกริก ซึ่งถือเป็นสไตล์ของบิ๊กเจี๊ยบอยู่แล้ว

ก็เพื่อนำความห่วงใยจาก พล.อ.ประยุทธ์ ไปถึงกำลังพล และเจ้าหน้าที่ หลังเกิดเหตุความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ พล.อ.เฉลิมชัยมาพบหารือแบบส่วนตัวกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล

เมื่อบิ๊กเจี๊ยบเยี่ยมหน่วยทหาร ก็ย่อมต้องมีเขียนในสมุดเยี่ยม สมุดลงนามของหน่วย ตามประเพณี โดยที่หน่วยในพื้นที่ก็มีการนำภาพข้อความที่เขียนด้วยลายมือของ ผบ.ทบ. ส่งแชร์กันภายใน แต่หลุดมาถึงนักข่าว เอาไปแพร่ในโซเชียล เพราะเห็นว่าลายมือสวยงาม เป็นระเบียบ อ่านง่าย

แต่ที่สุด มีรายงานว่า ทีมงานบิ๊กเจี๊ยบก็ต้องขอความร่วมมือให้ลบภาพนั้นออกไป เพราะเกรงว่าจะมีคนเข้าใจผิดว่าตนเองให้เผยแพร่ภาพนี้ เพื่อโปรโมตตัวเอง ไม่แค่นั้น อาจมีคนเอาไปเปรียบเทียบกับลายมือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยเห็นๆ กันมาแล้วอีกด้วย

อันสะท้อนว่า พล.อ.เฉลิมชัย แคร์ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างมาก แม้จะมีรายงานว่า นายกฯ บิ๊กตู่ ยังไม่เคยเอ่ยปากถามใดๆ เรื่องกระแสข่าวนายกฯ สำรองก็ตาม

ในฐานะนักฟุตบอล เจ้าของฉายา “เมสซี่เจี๊ยบ” ย่อมรู้ดีกว่า จะเล่นอย่างไรไม่ให้ “ออฟไซด์”

ในฐานะเลขาธิการ คสช. พล.อ.เฉลิมชัย ย่อมต้องไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช. ที่ทำเนียบรัฐบาลอยู่เนืองๆ เพื่อรายงานสถานการณ์ต่างๆ หรือรับคำสั่ง

ที่ยิ่งทำให้ถูกจับตามองถึงความใกล้ชิดสนิทสนมที่มากขึ้นๆ ของนายกฯ และ ผบ.ทบ. คู่บุญ ที่มักคิด พูด และทำอะไรคล้ายๆ กัน หรือสอดคล้องรับลูกกันเป็นอย่างดี

ท่ามกลางสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

แต่ พล.อ.เฉลิมชัย ก็แสดงออกถึงการเป็นนายทหารอาชีพ ที่ฟังคำสั่งนายกฯ บิ๊กตู่ และบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร อย่างเคร่งครัด

โดยเฉพาะการประกาศในที่ประชุมคณะเลขาธิการ คสช. แสดงความเชื่อมั่นในตัวผู้นำประเทศอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะนำพาประเทศ และทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

พร้อมยืนยันที่จะดูแลสถานการณ์ให้มีความมั่นคง สงบเรียบร้อย เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารราชการแผ่นดินไปตามโรดแม็ป

โดยเชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จะยังคงเห็นตรงกันที่จะให้ พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. ต่อไปอีก 1 ปี กุมบังเหียนกองทัพ ในปีแห่งความเปลี่ยนแปลง ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง

เช่นเดียวกัน พล.อ.เฉลิมชัย ก็ดูที่จะเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ โดยดูจากการจัดวางกำลังในหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ตั้งแต่นายพล จนนายพัน ที่จะเป็นมือไม้ และเป็นทีมเวิร์ก ในการโยกย้ายกลางปี เมษายน 2560

ตั้งแต่การดัน พล.ต.สุนัย ประภูชเนย์ (ตท.21) ขึ้นมาเป็น รอง ผบ.นสศ. ที่เชื่อกันว่า เพื่อจ่อเป็น ผบ.นสศ. ในการโยกย้ายปลายปีนี้ ซึ่งเป็นที่รู้มือกันดีว่า เป็นนายทหารรบพิเศษ เป็นมือทำงานลับของรบพิเศษมาตั้งแต่ยุค บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และที่ผ่านการปฏิบัติการพิเศษมาอย่างโชกโชน ด้วยความแข็งแกร่ง เด็ดขาด และส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องลับสุดยอด

พล.ต.สุนัย ประภูชะเนย์ และ พล.ต.ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง

รวมถึงการให้ เสธ.ยอง พล.ต.ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง (ตท.24) มาเป็น ผบ.กองพลรบพิเศษที่ 1 คุมกำลังรบของหน่วยรบพิเศษ โดยที่ พล.ต.ภูมิพัฒน์ ก็เคยเป็นนายทหารฝ่าย เสธ. คนสำคัญของ บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. โดยเฉพาะในช่วงการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

รวมทั้งการขยับ เสธ.เอิร์ธ พ.อ.อินทนนท์ รัตนกาฬ แกนนำ ตท.31 จาก ผบ.กรมปฏิบัติการพิเศษ (ผบ.ปพ.) ที่คุมหน่วยเฉพาะกิจ 90 หรือ ฉก.90 ที่เคยเป็นหน่วยล่าสังหารชื่อดังของหน่วยรบพิเศษ ให้ขึ้นมาเป็นเสนาธิการ กรมรบพิเศษที่ 3 เพื่อจ่อเข้าไลน์โต และมาทำหน้าที่ในด้านการวางแผนใช้กำลัง

โดยให้ เสธ.ป้อม พ.อ.โสฬส รัตนผ่องใส (ตท.34) ขึ้นมาเป็น ผบ.ปพ. คุม ฉก.90 แทน รวมทั้งการให้ เสธ.กั้ม พ.ท.กัมพล เทียนทองดี (ตท.38) มาเป็นผู้บังคับกองพันจู่โจม (ผบ.จจ.) ที่ล้วนเป็นหน่วยรบพิเศษ ที่ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยล่าสังหาร หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ที่มีความสามารถ ที่ผ่านการฝึกฝนมาในทุกภารกิจ และกรำศึกการเมือง การทหาร และรัฐประหาร มานับครั้งไม่ถ้วน

และมีผู้พันโก๋ พ.ท.ภูกิจ อันดารา (ตท.37) มาเป็น ผบ.รพศ.พัน 1 ที่ถือเป็นกำลังสำคัญของกองพลรบพิเศษ

ในเวลานี้ กองทัพบก มีแค่ทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) หรือบูรพาพยัคฆ์ และกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) และกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มาทำงานด้านรักษาความสงบเรียบร้อย (รส.) ของกองกำลัง รส. ของ คสช. ในกรุงเทพฯ และส่วนกลาง

เนื่องจากในตอนนี้ หน่วยกำลังสำคัญอย่างกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ที่เคยเป็นขุมกำลังปฏิวัติ และหน่วยกำลังสำคัญของกองทัพภาคที่ 1 ก็มีการปรับภารกิจ ไปทำหน้าที่ของทหารรักษาพระองค์มากขึ้น โดยเฉพาะ ร.1 รอ. และ ร.11 รอ.

กองทัพบก จึงมีการปรับกำลังใหม่ ด้วยการให้กองพลทหารราบที่ 11 (พล.ร.11) มาฝากการบังคับบัญชากับกองทัพภาคที่ 1 ไว้ก่อน รวมทั้งการให้กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงของ พล.1 รอ. เข้ามาทำบางภารกิจแทน ร.1 รอ. และ ร.11 รอ. ด้วย

ดังนั้น หน่วยรบพิเศษ จึงเป็นหน่วยคุมกำลัง ที่ยังคงเป็นเขี้ยวเล็บสำคัญของ ทบ. และมีศักยภาพสูงอีกด้วย

ยิ่งในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีปัจจัยเสริมเติมให้ร้อนระอุมากขึ้น ทบ. ในฐานะกำลังหลักของกองทัพและ คสช. ก็ต้องเตรียมพร้อมดูแลความสงบเรียบร้อย ยิ่งเมื่อ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ. เป็นเลขาธิการ คสช. และ ผบ.กกล.รส. ด้วย

เช่น เมื่อครั้งที่มีประเด็นเรื่องการเปลี่ยน “หมุดคณะราษฎร” นั้น มีการปลุกระดม สร้างกระแสกันในโซเชียล และในกลุ่มต้าน คสช. กันอย่างกว้างขวาง จน คสช. ต้องสั่งให้มีการเตรียมกำลังทหารไว้รับมือสถานการณ์ และดูแลพื้นที่เป้าหมายกันอยู่หลายวัน ก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลายลง

สถานการณ์ที่ไม่ปกติ หรือที่ยังเรียกว่าสถานการณ์พิเศษเช่นนี้ จึงยิ่งทำให้คนที่มาเป็น ผบ.ทบ. จะต้องครบเครื่อง และเรียกได้ว่า ไม่ธรรมดา

ซึ่งคนในกองทัพ และ ทบ. ส่วนใหญ่ ก็มองว่า พล.อ.เฉลิมชัย นายทหารรบพิเศษ ผู้มีพลังเงียบ และเฉียบขาดนั้น เหมาะสมแล้ว

เพราะทหารเชื่อกันว่า ในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ และ พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. นั้น…อุ่นใจ วางใจได้แบบรอบทิศทาง