ทราย เจริญปุระ | “อาจารย์เจษ”

เหมือนเป็นธรรมเนียมไปแล้วในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ ว่าฉันจะไปเที่ยวเล่นพักผ่อนยาวๆ ปีละอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพราะตั้งแต่เจออุบัติเหตุมาก็รู้ว่าชีวิตนั้นแสนจะบอบบาง พร้อมจะหลุดลิ่วปลิวหายไปได้ทุกลมหายใจ อะไรที่อยากทำก็ควรจะรีบทำเสีย ไม่ต้องรอวันหน้าวันหลัง ไม่ต้องรอใครมาชวน ไปที่ไหนแล้วดี แล้วชอบ แล้วอยากไป ก็จงไปให้สนุกตามจริตของตัวเอง

ก็เลาะเล็มเก็บเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ไปเกือบครบ ปีนี้ฉันเลยอยากกลับไปเยือนโตเกียวที่ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้วอีกสักครั้ง

เกริ่นมาเท่านี้หลายคนคงรู้ทันทีว่าฉันจะพูดถึงเรื่องอะไร

แน่นอนค่ะ–จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเรื่องทัวร์ลอยแพที่หลอกลวงคนไปได้เป็นจำนวนมหาศาล

ใครที่ไม่ได้ตามข่าวก็ขอสรุปให้สั้นๆ ว่ามีการหลอกลวงว่าจะชวนไปทำธุรกิจร่วมกัน (บวกขายของจำพวกวิตามินอาหารเสริม) ใครชักชวนเพื่อนฝูงญาติพี่น้องให้มาซื้อได้ จะได้รับสิทธิพิเศษ ไปญี่ปุ่นได้ในราคาประมาณหนึ่งหมื่นบาท (บางคนจ่ายเกินนี้ บางคนน้อยกว่านี้นิดหน่อย ขอตีรวมไปที่เลขกลมๆ หนึ่งหมื่นก็แล้วกัน) ต่อคน ทั้งกิน ทั้งเที่ยว ทั้งที่พัก ไปกันไม่อั้นด้วยเครื่องเช่าเหมาลำสุดหรู

ผลก็คือคนยอมจ่ายค่าตั๋วกันสนั่น หวังจะได้ไปเยือนญี่ปุ่นดูซากุระ เล่นเครื่องเล่นสวนสนุก (ตามที่แจ้งมาในแผนการเดินทาง) ให้ฉ่ำใจ บ้างก็ไปกันเป็นครอบครัว บ้างก็ขยายธุรกิจ ใครเป็นเครือข่ายใครก็ชักชวนกันมา

ผลก็คือเคว้งคว้างกันอยู่ที่สนามบินเป็นพันพันคน

อาจด้วยฉันเป็นคนขี้ระแวงและไม่ชอบรับของจากใครเป็นพื้นฐานอยู่แล้วก็ได้ ฉันถึงรู้สึกว่าข้อเสนอนี้แสนจะไม่ตรงไปตรงมา ต่อให้เกิดขึ้นจริงก็ยังต้องคิดเลยว่าฉันจะกลายเป็นหนี้บุญคุณส่วนต่างให้มาลำเลิกชดใช้กันทีหลังไม่รู้จักจบจักสิ้นหรือเปล่า แล้วก็เลยพาลให้สงสัย ว่าต้นทางเขาใช้วิธีใดกัน ถึงรวบรวมคนมาโดนหลอกได้ทีละเรือนพันแบบนี้

อ๋อ–กรุ๊ปไลน์

ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบการมีอยู่ของสมาร์ตโฟนและอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างยิ่ง

มันทำให้ชีวิตฉันง่าย สบาย สะดวก ไปไหนก็มีอะไรให้ก้มอ่าน ไม่ไปยืนเปิ่นเทิ่นต่อหน้าฝูงชน

อยากอ่านข่าวก็มี

อยากรู้เนื้อเพลงก็ได้

อยากจองตั๋วหนังตั้งแต่ยังนั่งอยู่ในรถก็ได้

อยากรู้อะไรก็เข้ากูเกิลจิ้มๆ ค้นๆ สัก 5 นาทีก็รู้ผล

แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าร่วม หรือถ้าจำเป็นก็เข้าร่วมให้น้อยที่สุดคือกรุ๊ปไลน์นั่นเอง

คือมนุษย์เรานั้นยากจะมีความสนใจตรงกันในเวลาเดียวกัน ต่อให้เป็นเพื่อนกันก็ตามที

แล้วฉันว่านัดคุยนัดเจอกันเป็นครั้งเป็นคราวไปนี่ง่ายกว่าเยอะ

เพราะลงว่าอยู่ในกรุ๊ปไลน์ ก็จะต้องเจอเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่อยู่นอกเหนือความสนใจของเราบ้าง

สนใจแต่ส่งมาผิดจังหวะบ้าง หรือไม่สนใจแต่ถูกทวงถามตามว่าเห็นหรือยังบ้าง ทำให้อึดอัดวุ่นวายใจยิ่งนัก เพราะฉันไม่รู้ว่าแต่ละเรื่องที่ส่งๆ กันมานั้นมันสำคัญหรือไม่ หรือสำคัญต่อการรับรู้ของฉันแค่ไหน

โชคยังดีว่าหน้าที่การงานฉันไม่ได้ถูกบังคับเด็ดขาดว่าต้องเข้ากรุ๊ปไลน์บริษัทหรือกลุ่มทำงานแบบที่หลายๆ คนโดนกัน

ทั้งยังไม่มีกรุ๊ปไลน์ญาติพี่น้องครอบครัวให้กุมขมับกับสารพัดเนื้อหาในกรุ๊ป จึงออกจะโปร่งโล่งใจไม่น้อย

เพราะไม่ต้องทนเห็นอะไรพิลึกๆ ที่ส่งต่อกันมาเป็นร้อยปี แต่ญาติเราเพิ่งรู้เลยส่งมาให้ ไม่มีเลขเด็ด ไม่มีสูตรเสริมสุขภาพ

ไม่มีข่าวลือโคมลอยอะไรๆ มาให้ปวดหัว

ฉันเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่า ความว่องไวทันสมัยของโลกอินเตอร์เน็ตและกรุ๊ปไลน์นี่ดูจะเป็นภัยกับผู้ใหญ่มากกว่าเด็กโขอยู่

คือเด็กไม่ได้มีทรัพย์สินศักดิ์ศรีหน้าตาอะไรมากมาย

เรื่องเสียตัวเสียใจนี่ก็ไม่ได้จำกัดอายุอยู่แล้ว กล่าวอีกทีคืออะไรที่เด็กจะเสียได้ ผู้ใหญ่ก็เสียได้เหมือนกัน แถมในปริมาณที่หนักแน่นเข้มข้นกว่าเสียด้วย เพราะจะบอกจะสอนกันก็ยาก กว่าจะรู้ กว่าจะแก้ไขได้ก็ไปเกินมือเสียแล้ว

เพื่อนฉันหลายคนก็มีปัญหาอย่างนี้อยู่ ว่าบอกความจริงว่ามันเป็นอย่างไรก็โกรธ จะทำเฉยใส่ก็น้อยใจว่าส่งอะไรดีๆ ให้แล้วไม่สน แถมนัดแนะกันเสียเงินเสียทองกันไปอีก ซึ่งก็พอจะหาให้เสียได้อยู่

แต่ไอ้สารพัดสูตรสุขภาพที่ดูเป็นการเสื่อมสุขภาพเสียมากกว่าก็ขยันเชื่อกันเหลือเกิน

ทางออกที่นุ่มนวลที่เคยแนะนำไปหลายคนแล้วก็คือ, ให้หาบุคคลที่สามมาบอกแทน

คือความใกล้ชิด ความเป็นห่วง มันก็ทำให้เราใส่อารมณ์มากไปในบางทีกับคนใกล้ตัว กลายเป็นยิ่งจะเอาชนะกันหนักขึ้นไปจนกลายเป็นความบาดหมาง

อย่ากระนั้นเลย ฉันขอแนะนำบุคคลที่สามท่านนี้ค่ะ -รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์-

อาจารย์เจษ (ขอเรียกสั้นๆ ตามนี้นะคะ) เป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ที่สนใจในประเด็นสังคมทั่วไป และมีความตื่นตัวในการตั้งข้อสังเกตแปลกใหม่ เพื่อแก้ไขสิ่งที่ชวนข้องใจให้ถูกต้อง

โดยเริ่มต้นอาจารย์ใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวมาวิเคราะห์สารพัดเรื่องฮิตที่แชร์กันอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล ตั้งแต่เรื่องความเชื่อ ศรัทธา ปาฏิหาริย์ ไปจนถึงหัวข้อยอดนิยมอย่างเรื่องสุขภาพ ที่ใครๆ ก็อยากให้คนที่รู้จักมีสุขภาพที่ดีกันทั้งนั้น แต่ไม่ทันได้คิดว่าเรื่องราวที่ส่งต่อไปนั้นมันจริงหรือไม่ มีผลเสีย ผลกระทบอย่างไรหากมีผู้นำไปใช้จริง

ในโลกเฟซบุ๊ก อาจารย์เจอมาแล้วทั้งคำด่า คำขู่ เกรียนคีย์บอร์ด ฉันซึ่งคอยติดตามอ่านอาจารย์อยู่ยังนับถือ ว่าอาจารย์แกใจดีและใจเย็นมากจริงๆ เพราะหากเป็นฉัน คงกรีดร้องสุดเสียงแล้วปล่อยโลกให้เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ใครอยากเชื่ออะไรก็เชื่อไปเถิด ฉันไม่ไปเหนื่อยโดนด่าด้วยหรอก แต่อาจารย์ก็ยังคงปฏิบัติการไขข้อข้องใจต่อไป

ตอนนี้มีรวมสารพัดเรื่องไขข้อข้องใจออกมาเป็นเล่มแบบนี้ ฉันว่าน่าซื้อหาฝากกันเป็นของขวัญอย่างยิ่ง ได้ประโยชน์กันหลายฝ่าย อะไรที่เคยเชื่อผิดๆ ก็จะได้กระจ่าง แถมยังลดความบาดหมางภายในได้อีก

เพราะถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ท่านไหนยังศักดิ์ศรีค้ำคอ มาอาละวาดเอากับเราว่าหลอกด่ากันหรือเปล่า ก็ชี้ไปที่บุคคลที่ 3 อย่างอาจารย์เจษได้เลยค่ะ

เพราะฉันว่าแกคงโดนขวาง โดนค้อน โดนวิบากสารพัดมาจนชินแล้ว (มั้ง) นะ

ให้ผู้ใหญ่ท่านไปพิพาทกับมืออาชีพแบบนี้ ดูจะปลอดภัยกับสวัสดิภาพในการพบญาติครั้งต่อไปของเราเป็นที่สุดค่ะ

“อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” เขียนโดย รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์มติชน, มีนาคม 2560

พลังจิตรักษาความดันโลหิต โรคหลอดเลือด หายได้โดยไม่ต้องกินยา