แล้วพุทธทาสภิกขุ ก็ช่วงชิง วันล้ออายุ 74 ปี ตอบ “ข้อกล่าวหา”

มีความจำเป็นต้องย้อนกลับไปยังท่านพุทธทาสภิกขุ ว่าภายหลังจากประสบ “กระแส” วิพากษ์วิจารณ์ ประสานกับการตอบโต้อย่างดุเดือดเข้มข้น

ไม่ว่าจะมาจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไม่ว่าจะมาจาก พ.ต.ต.อนันต์ เสนาขันธ์

ไม่ว่าจะมาจากพระด้วยกัน ไม่ว่าจะมาจากฆราวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการผลักดันในเรื่องอันเกี่ยวกับ “จิตว่าง”

ในเรื่องการวิพากษ์ “พระไตรปิฎก” ในเรื่องการวิพากษ์ “อภิธรรม”

ท่าทีของท่านพุทธทาสภิกขุเป็นอย่างไร จะรู้ว่าท่านพุทธทาสภิกขุมอง “ปฏิกิริยา” นี้อย่างไร และดำเนินการบริหารจัดการอย่างไร

ต้องย้อนกลับไปยังสถานการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2523

นั่นก็คือ ในวันล้ออายุครบ 74 ปี เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2523 ท่านได้ตอบคำถามอย่างเปิดกว้าง ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม

แล้วต่อมาปรากฏผ่านหนังสือ “ธรรมะน้ำ ธรรมะโคลน”

“คำตอบเหล่านี้ไม่ได้มุ่งหมายเฉพาะบุคคลใดเรื่องใดหรือโต้ตอบแก่ใคร ถือว่าเป็นโคลนทุกชนิดที่มาจากทิศทางไหนก็ได้ ถ้ารู้สึกว่ามันมาเปื้อนที่เราเราก็ต้องล้าง ฉะนั้น การถามตอบให้เข้าใจมันก็เป็นเรื่องล้างโคลน

“คำถามก็เป็นเหมือนการเสนอให้ทราบว่า บัดนี้มันมีโคลนเปื้อนอยู่อย่างนั้นๆ ที่นั่น แล้วคำตอบก็คือล้างมันออกไปเสีย”

เริ่มจากคำถามว่าด้วย “อภิธรรม”

 

คําถามก็คือ เขากล่าวหาท่านอาจารย์ กล่าวว่าพระอภิธรรมไม่ใช่พุทธพจน์ที่แท้จริง นี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรครับ

ท่านพุทธทาสภิกขุ ตอบว่า

อภิธรรมทั้งหมด ทั้งกระบิทั้งระบบนั้นเอาไปทิ้งทะเลเสียก็ได้ โลกนี้จะไม่ขาดความรู้ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติเรื่องดับทุกข์โดยสิ้นเชิง

พระพุทธวจนะต้องเป็นเรื่องแสดงความดับทุกข์เสมอ แล้วก็ไม่เฟ้อ

อภิธรรมมิได้อยู่ในรูปพุทธวจนะ โดยยืมเอาพุทธวจนะในสุตตันตปิฎกบางคำไปอธิบายให้มันเฟ้อ คำอธิบายในอภิธรรมปิฎกทุกคนจะติดตามมาพบต้นตอเดิมในสุตตันตปิฎกเสมอ ทีนี้เอาไปอธิบายจนเฟ้อ

อาตมาก็ถือว่ามิได้อยู่ในรูปของพุทธวจนะ หรือไม่ได้เป็นพุทธวจนะดั้งเดิม

ระเบียบอักษรแห่งอภิธรรมปิฎกนั้นไม่ได้เป็นรูปพระพุทธดำรัสดังระเบียบอักษรในสุตตันตและวินัยปิฎก แต่เป็นความเรียงแบบภาษาตรรกะหรือจิตวิทยา

ซึ่งใครลองเปิดมาเปรียบกันดูก็เห็นได้เอง

 

ข้อเท็จจริง คือ เอาเนื้อหาสักคำหนึ่งแล้วก็ไปพอกคำอธิบายที่เพ้อเจ้อมากมายเกินจำเป็นสำหรับการดับทุกข์ ทั้งหมดนี้เรียกว่า เอาไปทิ้งทะเลเสียให้หมดก็ได้

โลกนี้ก็จะไม่ขาดอะไรไปสำหรับคำสอนที่จะดับทุกข์ได้สิ้นเชิง

ขอโทษ มีนักอภิธรรมนั่งอยู่ที่นี่บ้างก็คงจะด่าอาตมาอยู่ในใจบ้างแล้วก็ได้ แต่ก็ไม่กลัวดอก ยังพูดอย่างนี้ต่อไปเรื่อยแหละว่า อภิธรรมของคุณทั้งหมดนั่นน่ะเอาไปทิ้งทะเลเสียทั้งกระบิก็ได้

โลกนี้มันจะไม่ขาดอะไรเลยสำหรับการดับทุกข์

ทีนี้ถ้าจะว่ากันถึงอภิธรรมกันแล้วก็ต้องพูดว่าอภิธรรมที่แท้จริงไม่ใช่อภิธรรมที่ท่านยกขึ้นมาเชิดชูยึดถือแล้วดูถูกดูหมิ่นผู้อื่นว่าไม่รู้อภิธรรม

อภิธรรมที่แท้จริงคือ เรื่อง “สุญญตา” เรื่อง “จิตว่าง” เรื่อง “ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู”

นี่อภิธรรมที่แท้จริง มี 2-3 คำเท่านี้ก็พอแล้ว คือไม่ต้องตั้ง 42,000 พระธรรมขันธ์ เขียนใส่ใบลานแล้วก็หามกันแทบจะไม่รอด

นั่นมันอภิธรรมเฟ้อ

อภิธรรมที่แท้จริงมันจะสรุปเหลืออยู่ว่า “ไม่มีตัวตน” ว่างจากตัวตน หรือเช่นนั้นเอง ถ้ายังมีตัวตน หวังอยู่แต่มหากุศลอย่างแรงกล้าแล้วก็หาเป็นอภิธรรมไปได้ไม่

คำว่าเช่นนั้นเองหรือตถตานั้นเป็นยอดสุดของอภิธรรม

ทุกอย่างมันรวมอยู่ที่ว่า เช่นนั้นเอง, มันเท่านั้นเอง, ยึดถือเป็นตัวตนไม่ได้, ยึดถือเป็นบุคคลไม่ได้ ไม่ต้องแจกเป็นรายละเอียดให้เสียเวลา

หรือจะใช้คำว่า “สุญญตา” ก็ได้ คือ “ความว่าง”

นั้นคืออภิธรรมแท้ หรือยอดสุดของอภิธรรม หรือจะใช้คำว่า “ตถตา” – ความเป็นเช่นนั้นเอง นั่นคือยอดสุดของอภิธรรม

 

เป็นการแยก “สุญญตา” หรือ “ความว่าง” ออกมาจากกระพี้อันดำรงอยู่ภายในสิ่งที่พุทธทาสภิกขุเรียกอย่างรวบรัดว่า

“อภิธรรมเฟ้อ” หรือ “อภิธรรมไม่แท้”

ไม่เพียงแต่จะล้าง “โคลน” จากข้อกล่าวหาที่สาดเข้ามาทุกสารทิศ หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังใช้ “สุญญตา” เข้าไปล้างอย่างมีนัยสำคัญ

จำเป็นต้องติดตามต่อไป