เจมส์-จิรายุ : เพราะถึกและพยายาม กับ การไม่เป็นไรและเอาใหม่

เพราะถึกและพยายาม การไม่เป็นไรและเอาใหม่ ของเจมส์ จิ

ถ้าการบ้านของนักดนตรี คือการที่ต้องซ้อมทุกวัน และการบ้านของจิตรกรก็คือการต้องวาดบ่อยๆ เพื่อฝึกมือ

เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข ก็ว่า การบ้านสำหรับคนเป็นนักแสดงอย่างเขา ก็คงเป็นการพยายามหามุมมองต่างๆ ของตัวละคร ทำความเข้าใจในตัวละครนั้นทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ความคิด การแสดงออกทางพฤติกรรม โดยทั้งหมดนั้นก็เพื่อเป้าหมายเดียว คือจะได้สวมบทบาท “อย่างแนบเนียน”

และถ้าถามต่อไปอีกนิดว่า กับการบ้านที่ว่า เขาขยันทำไหม?

คำตอบที่มาพร้อมการทำตาโตๆ คือ “ขยันสิครับ”

โดยที่ผ่านมาไม่ว่าจะได้รับงานชิ้นไหน ตัวละครมีแคแร็กเตอร์และบทบาทอะไร เขาก็พยายามศึกษา เพื่อจะได้ดีไซน์ให้ตัวละครออกมาแบบมีมิติ

อย่างไรก็ดี “ผมอาจจะยังไม่สามารถทำได้ทั้งหมด ขอต๊ะๆ ไว้ก่อน” บอกพลางหัวเราะ

แต่กระนั้น สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อว่าแฟนๆ ผู้ติดตามผลงานของพระเอกคนนี้มาตลอด คงเห็นตรงกันคือ นับวันความสามารถของเขาจะยิ่งทวีขึ้น ซึ่งเมื่อถ่ายทอดข้อความนี้ส่งไป เจมส์ก็บอก “ขอบคุณครับ”

แล้วตามมาด้วย “เขินเลย” พลางยิ้มกว้าง

จากนั้นก็เผยความรู้สึกว่า สำหรับเขา งานแสดงคืองานศิลปะ

“แล้วงานศิลปะเนี่ย มันอยู่ที่โมเมนต์นั้นด้วย บางทีแบบอยู่ดีๆ ก็โอ้โห…ซีนนี้มันทัชใจผมมาก อยู่ดีๆ อันนี้แหละ ฟีลลิ่งได้เลย แล้วเดือนต่อมาเล่นประมาณเดียวกัน ซีนดราม่าเหมือนกัน แต่เล่นไม่ได้อ่ะ คือมันอยู่ ณ องค์ประกอบหลายอย่าง ด้วยหน้าเซ็ต ด้วยสุขภาพตอนนั้น ด้วยอารมณ์ตอนนั้น ด้วยเรื่องราวตอนนั้น หรือว่าด้วยสมาธิตอนนั้น”

ด้วยเหตุนี้ “เราจึงจำเป็นต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะเมนเทนสิ่งต่างๆ ไปได้”

ย้อนกลับไปในวันที่เป็น “ดาราหน้าใหม่” เจมส์บอกว่า ตอนนั้นเขาไม่รู้เลยว่าอาชีพนี้จะพาชีวิตเขาไปถึงจุดไหน

พูดให้ชัดเจนลงไป คือในวัยที่อายุเพียง 19 ปี เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

“ตอนนั้นแค่ขอให้พูดบทถูก แล้วไม่โดนป้าแจ๋ว (ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์ ผู้กำกับฯ ละครเรื่อง “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” ที่เขาแสดงเป็นพระเอกเรื่องแรก) และผู้กำกับฯ คนอื่นด่า ก็เป็นบุญหัวแล้ว”

“มันเหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่เข้ามา แล้วทำไมบทมันยาวจังวะ จะทำได้ไหมเนี่ย แค่นั้นเลย”

ต่างจากตอนนี้ ที่ “เปลี่ยนไปแล้วครับ” พระเอกคนดัง ที่ปัจจุบันอายุ 26 ปีบอก

“พอเราทำพื้นฐานตรงนั้นได้ ก็เลยคิดเรื่องใหม่ ตั้งเป้าหมายใหม่ อยากจะพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้วก็อยากให้ทุกอันเป็นงานศิลปะที่ค่อนข้างสนุก สนุกในด้านการทำงานของเรา สนุกในการสร้างตัวละครขึ้นมา สนุกในการเล่นละครในทุกๆ ฉาก ต่อให้เป็นฉากที่เครียด แต่พอเราเล่นเสร็จ โห…ทำไมมันส์จังเลย แล้วก็ให้คนดูอิ่ม แล้วก็สนุกกับละครนั้นได้ คือโกลใหม่ เป้าหมายใหม่”

เรื่องชื่อเสียง และงานๆๆๆ ไม่ได้อยู่รวมในเป้าหมายที่ว่า

ด้วยหลังจากทำงานมาได้สักระยะใหญ่ ก็เข้าใจแล้วว่า “ถ้าเกิดเราทำงานให้ดี หรือมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่ต้องพยายามขวนขวายทุกอย่าง แล้วก็เครียดกับทุกอย่าง แต่แค่พยายามทำงานให้เต็มที่ แล้วมีความสุขกับมันก็พอ”

7ปีในวงการ เจมส์บอกแบบยิ้มๆ ว่า “ถ้าพูดตอนนี้มันก็ดีแหละครับ”

“ที่ผ่านมาก็อาจจะมีไม่ดีบ้าง”

“แต่ผมว่ามันก็ดี ที่มีโอกาสได้เจอ”

“ผมว่าผมเป็นคนที่โชคดีมากๆ ที่ได้รับโอกาสดีมากๆ อันหนึ่งของชีวิต ซึ่งผมก็ดีใจ”

เรื่อง “เก่ง” ก็ไม่ใช่

“ผมว่าถ้าผมเป็นได้ ทุกคนก็ทำได้ครับ”

ขอแค่ตั้งใจ พยายาม และลองทำ

“ปฏิเสธในใจได้นะครับ แต่ไม่ปฏิเสธที่จะทำ ถ้ามันไม่ได้ร้ายแรงมากมาย ว่าควรปฏิเสธ หรือว่าเรายังหาทางไม่เจอ ผมว่าทำให้เยอะดีกว่า ผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความคิดชัดเจนว่าอยากทำอะไร หรืออยากเป็นอะไร การได้ลอง เดี๋ยวเราก็จะรู้เองว่าอะไรที่เราชอบ”

เช่นเดียวกันกับเรื่องพยายาม

ที่เขาว่า “เป็นคนถึกครับ สามารถรับได้ ป้าแจ๋วด่าก็กลัว มือสั่น หน้าซีด แต่โอเค ตื่นเช้ามาก็เอาใหม่ โดนด่าอีกวันก็ไม่เป็นไร เอาใหม่”

“ทำอะไรไม่ได้ไง ได้แต่พยายามก็แล้วกัน”

ทุกวันนี้เจมส์บอกว่า ชีวิตของเขาเป็นชีวิตที่มีความสุขอย่างที่น่าพอใจ

“ผมสุขได้ง่ายๆ ในเรื่องรอบตัว แค่มองเรื่องเล็กๆ ก็มีความสุขแล้ว”

“เรื่องทุกข์ ไม่ค่อยทุกข์เท่าไหร่ครับ ผมรู้สึกว่าผมปรับตัวได้ง่าย แล้วก็ปล่อยวางได้ง่าย”

ซึ่ง “เป็นบุญผมเลย ผมว่าผมโชคดี อาจจะดีไม่หมด หรือดีที่สุด แต่ด้วยความที่พอใจในสิ่งที่มีและเป็น ก็ดีใจแล้ว”