ภาพยนตร์ / นพมาส แววหงส์/CINEMA PARADISO

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

CINEMA PARADISO

‘สกาลา…ลาก่อน’

 

กำกับการแสดง Giuseppe Tornatore

นำแสดง Philippe Noiret Jacques Perrin Marco Leonardi Salvatore Cascio

 

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563 เป็นวันสุดท้ายสำหรับการฉายภาพยนตร์ของโรงหนังสกาลา โรงภาพยนตร์ที่ตั้งอยู่โดดๆ แห่งสุดท้ายในกรุงเทพฯ

สกาลาอยู่คู่กับสยามสแควร์มาตั้งแต่เปิดกิจการใน พ.ศ.2512 โดยมีโรงหนังในเครืออีกสองแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง คือ สยาม และลิโด้ ผู้เขียนเรียนอยู่จุฬาฯ ในช่วงนั้นพอดี และเคยแอบหนีเรียนวิชาที่ไม่ชอบเรียนคนเดียวไปดูหนังอยู่หลายครั้ง

…ที่จำได้แม่นคือเรื่อง ขุมทองแมคเคนนา หรือ Mackenna’s Gold ที่โรงหนังลิโด้ เป็นหนังเรื่องแรกที่ทำใจกล้าไปดูคนเดียว เพราะไม่อยากชวนเพื่อนหนีเรียน จนกลายเป็นความเคยชินในการไปดูหนังคนเดียวในเวลาต่อมา

โรงหนังในเครือเอเพ็กซ์ ที่สยามสแควร์ ค่อยๆ ล้มหายตายจากไปด้วยเหตุปัจจัยนานา เริ่มด้วยโรงหนังสยามที่ถูกเผาไปในการจลาจล มาถึงลิโด้ที่ถูกเปลี่ยนไปในธุรกิจ ก่อนจะถึงคราวของโรงหนังสกาลา ที่กล่าวกันว่าสวยที่สุดในกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่เปิดและปิดงานภาพยนตร์นานาชาติมาหลายต่อหลายปี

ก่อนปิดกิจการเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ สกาลาก็เผชิญสภาพการแข่งขันของโรงหนังแบบมัลติเพล็กซ์ที่เกิดใหม่ๆ ในห้างสรรพสินค้ามาตลอด และหลังจากการปิดกิจการไปหลายเดือนในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ก็ไม่สามารถทนยื้ออยู่ได้ต่อไปในโลกที่กำลังแปรโฉมหน้าไปอย่างรวดเร็ว

 

หนังเรื่องสุดท้ายที่ฉายในโรงนี้ คัดเลือกมาอย่างเหมาะสมที่สุด และเป็นการอำลาไปอย่างสง่างาม ชวนให้หวนอาลัย

Cinema Paradiso หรือ โรงภาพยนตร์แดนสุขาวดี

ซึ่งสร้างใน ค.ศ.1988 และได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างชื่นชอบทั้งในแวดวงนักวิจารณ์และคนดู หนังได้รับรางวัลมากมาย รวมทั้งออสการ์ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม

การกลับมาดูหนังเรื่องนี้อีกหนจึงเป็นความประทับใจแสนสุขที่ภาพยนตร์สามารถสร้างให้แก่คนดู และเนื้อหาก็เหมาะสมอย่างที่สุดกับการปิดฉากอำลาโรงภาพยนตร์ที่อยู่ในใจของนักดูหนังมานานแสนนาน

หนังเปิดเรื่องในปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นคือช่วงก่อนหน้า ค.ศ.1988 โดยที่ซัลวาตอเร “โตโต้” ดิวีตา (ฌากส์ เปอร์แรง) หนุ่มใหญ่ผู้ประสบความสำเร็จในฐานะนักสร้างภาพยนตร์ในโรม ได้รับโทรศัพท์จากแม่ผู้อยู่ในชนบทตอนใต้ของอิตาลี แจ้งให้ทราบการจากไปของบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาเดินทางกลับไปเยี่ยมหมู่บ้านในชนบทนั้นเป็นครั้งแรกในรอบสามสิบกว่าปี

หลังจากที่เดินทางจากมาเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวและทำงานในอาชีพที่เขารัก โดยไม่เคยหวนกลับไปสู่อดีตในวัยเด็กอีกเลย

และแล้ว ภาพแห่งความหลังก็ปรากฏขึ้นในห้วงมโนนึกของโตโต้

 

หนูน้อยโตโต้ (ซัลวาตอเร คัสชิโอ) เป็นผู้ช่วยบาทหลวง คอยสั่นกระดิ่งเวลาบาทหลวงประกอบพิธี และเป็นเด็กช่างเจรจา เฉลียวฉลาด ที่อยู่กับแม่ที่ยากจนกับน้องสาว ขณะที่พ่อจากไปสงครามที่รัสเซีย ด้วยความหวังอันริบหรี่ว่าพ่อจะกลับมาเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์อีกครั้ง

หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีโรงหนังชื่อ “ซีนีมา ปาราดีโซ่” เป็นโรงมหรสพแห่งเดียวบนจัตุรัสกลางเมือง ที่เป็นแหล่งชุมนุมของชาวเมือง และเป็นภาพที่ชวนให้นึกถึงเมืองชนบทเก่าแก่ เรียบง่ายและสวยงามในอิตาลี ซึ่งมีทั้งคนจรจัดเสียจริตที่เพ่นพ่าน อ้างกรรมสิทธิ์ในจัตุรัสแห่งนี้ และมีดราม่าอันผันผวนในชีวิตของผู้คนเกิดขึ้น อย่างเช่น คนจากทางเหนือถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งอย่างเหนือคาด เป็นที่กล่าวขวัญและริษยากันทั้งเมือง

งานหนึ่งในหน้าที่ของบาทหลวงประจำเมือง คือไปนั่งดูหนังและเซ็นเซอร์ฉากที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะฉากจูบ ซึ่งบาทหลวงจะสั่นกระดิ่งแทบไม่ทัน ให้คนฉายหนังตัดออกเสีย

โตโต้เป็นเด็กที่ตื่นตาตื่นใจกับโลกอันเย้ายวนชวนฝันของภาพยนตร์อย่างที่สุด เขาแอบไปดูหนัง โดยเอาเงินที่แม่ให้ไปซื้อของไปจ่ายค่าตั๋ว แอบไปทำความรู้จัก และสร้างความปวดหัวให้คนฉายหนังคนเดียวในหมู่บ้าน

อัลเฟรโด้ (ฟิลิปป์ นัวเรต์) บ่นให้โตโต้ฟังว่าชีวิตของคนฉายหนังอย่างเขา เป็นชีวิตที่น่าเบื่อ เพราะดูหนังซ้ำๆ ซากๆ ไม่รู้ว่ากี่หน จนจำคำพูดและฉากต่างๆ ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นหนังของจอห์น เวย์น หรือคล้าก เกเบิล หรือฉากตลกของชาร์ลี แชปลิน

หลังจากเหตุการณ์น่ารัก น่าขันและน่าเศร้าหลายอย่าง ในที่สุด อัลเฟรโด้ก็ยอมรับโตโต้เป็นเด็กฝึกงานของเขา และสอนทุกอย่างในอาชีพให้

ก่อนจะเกิดเหตุเพลิงไหม้เผาโรงหนังแห่งนี้จนแทบไม่เหลืออะไร เนื่องจากฟิล์มในสมัยนั้นติดไฟได้ง่าย และเป็นเชื้อเพลิงที่ดีที่สุด

อัลเฟรโด้เองก็แทบเอาชีวิตไม่รอด ดีแต่โตโต้ซึ่งเป็นเพียงเด็กวัยหกขวบ ฝ่าเพลิงไปลากเขาออกมา

 

อัลเฟรโด้มีชีวิตอยู่ได้ต่อมา โดยปราศจากดวงตามองเห็น และเมื่อโรงหนังได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากคนถูกล็อตเตอรี่ ให้กลับมาเป็นแหล่งบันเทิงคู่หมู่บ้านต่อไปได้ บุคคลเดียวในหมู่บ้านที่ต้องมาทำหน้าที่ฉายหนัง คือ หนูน้อยโตโต้ในวัยเพียงหกเจ็ดขวบ

โตโต้เรียนหนังสือและทำงานตอนเย็นหาเลี้ยงแม่กับน้องสาว จนเติบโตเป็นวัยรุ่น (มาร์โค เลโอนาร์ดี) และตกหลุมรักกับสาวสวยลูกนายธนาคาร เอเลน่า (แอกเนเซ นาโน)

ซึ่งกลายเป็นความรักแสนหวานที่ถูกผู้ใหญ่ขัดขวางในทุกวิถีทาง

และจุดประกายให้โตโต้จากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นมาโดยไม่หวนกลับไปอีกเป็นเวลากว่าสามสิบปี

เรื่องราวยังซ่อนเงื่อนปมไว้ให้โตโต้ในวัยหนุ่มใหญ่กลับไปค้นพบอีก ซึ่งขอไม่เล่าต่อละนะคะ

 

ขอบอกแต่เพียงว่า เป็นหนังที่ตราตรึงและลงตัวอย่างมาก

โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่โตโต้นั่งดูหนังที่อัลเฟรโด้ตัดต่อทิ้งไว้ให้เขา ด้วยเศษฟิล์มที่ถูกเซ็นเซอร์ออกไปในสมัยที่ฉากจูบยังเป็นของต้องห้ามและเป็นฉากที่ชาวบ้านตั้งตาคอยดูกัน เพียงเพื่อจะผิดหวังอย่างแรง เมื่อฉากถูกตัดออกไปเสียดื้อๆ

หนังจบด้วยฉากที่ชวนให้นิ่งขึงตะลึงตะไลเลยเชียว

และเป็นหนังที่เหมาะที่สุดที่จะนำมาทิ้งทวนกล่าวอำลาให้กับช่วงเวลาอันแสนหวานในอดีต

ลาก่อน…สกาลา