ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 เมษายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ผี-พราหมณ์-พุทธ |
ผู้เขียน | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง |
เผยแพร่ |
แขกพราหมณ์มีสงกรานต์ทุกเดือน สงกรานต์นั้นมาจากคำสันสกฤตว่า “สังกรานติ (สํกฺรานฺติ)” แปลว่าเคลื่อนหรือย้าย หมายเอาตามโหราศาสตร์ฮินดูว่า พระอาทิตย์ย้ายเข้าราศี
ราศี หมายถึงการแบ่งขอบฟ้าออกเป็นช่องๆ สิบสองช่องเท่าๆ กัน แต่ละช่องมีดาวจักรราศีครองอยู่ พระอาทิตย์จะอยู่ช่องละสามสิบวัน เคลื่อนย้ายไปทั้งปี ครบทั้งสิบสองช่องคือครบหนึ่งปี
พระอาทิตย์ย้ายราศีในทุกเดือนตกราวๆ วันที่ 14-15 ของเดือนนั้นๆ เข้าในราศีใด ก็เรียกสงกรานต์ของราศีนั้น เช่น พระอาทิตย์ย้ายเข้าราศีมังกร ก็เรียก มกรสังกรานติ (มกรสงกรานต์) เข้าราศีเมษก็เรียก เมษสังกรานติ (เมษสงกรานต์) ฯลฯ
ดังนั้น ในหนึ่งปีแขกพราหมณ์จึงมีสงกรานต์ถึงสิบสองครั้ง แล้วเขาทำอะไรในสงกรานต์แต่ละครั้ง
อย่าลืมนะครับว่าชาวฮินดูจะบูชาเทพเจ้าในแทบทุกวันหรือเทศกาลสำคัญ ผิดแผกกันไปตามแต่ละเทศกาล
แต่เลือกบูชาเทพองค์ใด ก็สะท้อนว่าเทพเจ้าองค์นั้นสัมพันธ์กับวันหรือเทศกาลนั้นๆ
ดังนั้น ถ้าให้เดาก็คงพอเดากันออกครับว่า สงกรานต์ซึ่งเกี่ยวเนื่องด้วยดวงอาทิตย์ ชาวฮินดูก็น่าจะบูชาพระสุริยเทพแน่ๆ
เทพมณเฑียร เสาชิงช้า ศาสนสถานฮินดูของชาวอินเดียเหนือในกรุงเทพฯ ทุกสงกรานต์ในเวลาเช้าตรู่ พราหณาจารย์ทั้งหลายจะกระทำบูชาพระอาทิตย์ในรูป “สูริยนารายณ์” ด้วยเหตุว่าในคัมภีร์พระเวทพระวิษณุเป็นสุริยเทพองค์หนึ่งก่อนจะกลายมาเป็นพระวิษณุอย่างที่เรารู้จักกันจากคัมภีร์ปุราณะ
นอกจากพิธีบูชาพระสูริยนารายณ์แล้ว ชาวฮินดูยังเชื่อกันว่า ในช่วงสงกรานต์ของทุกเดือนหรือในช่วงเวลาใกล้เคียงสงกรานต์ จะไม่ประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความมั่นคงหรือพิธีกรรมสำคัญ เช่น ขึ้นบ้านใหม่หรือแต่งงาน เพราะพระอาทิตย์ซึ่งเป็นดาวใหญ่ เป็นดาวใหญ่เพิ่งเคลื่อนย้าย ยังไม่สถิตมั่นคง ย่อมจะให้ผลเป็นความไม่มั่นคงแก่สิ่งทั้งหลายด้วย
นอกจากสงกรานต์แต่ละเดือนแล้ว พราหมณ์เขายังถือเอาสงกรานต์ใหญ่สองสงกรานต์ว่าสำคัญกว่าสงกรานต์อื่นๆ คือ มกรสงกรานต์ และเมษสงกรานต์
มกรสงกรานต์ หรือมกรสังกรานติ คือสงกรานต์ที่พระอาทิตย์ย้ายเข้าราศีมังกร ตกในราววันที่สิบสี่หรือสิบห้ามกราคมของทุกปี
เหตุที่มกรสงกรานต์สำคัญ ก็เพราะการที่ดวงอาทิตย์ย้ายเข้าราศีมังกร เท่ากับได้ย้ายจากวงโคจร (อายน) ด้านใต้ (ทักษิณายัน) ซึ่งกินเวลาครึ่งหนึ่งของปี มาสู่วงโคจรด้านเหนือ (อุตรายัน)
วงโคจรด้านเหนือของดวงอาทิตย์คือช่วงเวลาของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงอบอุ่นของโลกอันเหมาะแก่การเพาะปลูก ผิดกับวงโคจรด้านใต้ที่หนาวเย็น สะท้อนถึงความมืดและความตาย
ถือกันว่าทักษิณายันเป็น “กลางคืน” ของเทวดา ส่วนอุตรายันเป็น “กลางวัน” ของเทวดา เพราะหนึ่งปีมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันของเทวดา
นอกจากบูชาที่เทวสถานแล้ว ในอินเดียภาคใต้จะเรียกเทศกาลนี้ว่า “ไทปงคัล”
“ปงคัล” คือข้าวหุงอย่างเทศใส่นมเนย ส่วน “ไท” คือชื่อเดือนยี่ของทมิฬ ชาวบ้านจะตื่นมาหุงข้าวปงกัลป์ถวายพระสุริยเทพ
ชะรอย ข้าว “ปงคัล” ของทมิฬ ก็คืออย่างเดียวกับ “ข้าวเปียก” หมายถึงข้าวกวนกับกะทิและนม ซึ่งใช้ถวายพระเป็นเจ้าในพระเทวสถานเฉพาะในพระราชพิธีตรียัมปวายเท่านั้น
ซึ่งพราหมณ์สยามสืบทอดมาจากทมิฬอย่างมิต้องสงสัย เพราะลักษณะคล้ายคลึงกัน และใช้ในพิธีซึ่งมีช่วงเวลาตรงกัน
แต่มกรสงกรานต์ แขกพราหมณ์ยังมิได้ถือว่าเป็นช่วงเปลี่ยนศก บางตำราก็ว่า ในทมิฬแต่เดิมยึดเอามกรสงกรานต์เป็นปีใหม่ ข้อนี้พราหมณ์ทมิฬเองก็ถกเถียงกันมิใช่น้อย
ส่วนสงกรานต์ใหญ่อีกวัน คือ เมษสงกรานต์หรือมหาสงกรานต์ คือพระอาทิตย์ย้ายเข้าราศีเมษ
เมษสงกรานต์สำคัญ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งสูงสุดคือจอมฟ้า ตรงเหนือศีรษะเราพอดี อันเป็นตำแหน่งที่พระอาทิตย์มีกำลังสูงสุด
จึงมิพักต้องสงสัยเลยว่า เหตุใดเดือนเมษายนจึงร้อนมากมายมหาศาลขนาดนี้
นอกจากดวงอาทิตย์มีกำลังสูงสุดแล้ว ในทางโหราศาสตร์อินเดียถือว่า ราศีเมษ เป็นราศีที่สถิต “ลัคนา” หรือตำแหน่งอ้างอิงทางโหราศาสตร์ของโลก
การที่ดาวใหญ่อย่างดวงอาทิตย์ย้ายเข้าในราศีลัคนาโลก จึงเป็นเรื่องใหญ่โต และยังใกล้เริ่มต้นเพาะปลูกอีกด้วย
แขกพราหมณ์อินเดียใต้ เช่น ทมิฬ โอริยา พังคละ มาลายาลัม ต่างถือว่าเมษสงกรานต์เป็นปีใหม่ของตน เรียกชื่อเทศกาลออกไปต่างกัน เช่น ปุฑานทุ วิษุ ฯลฯ
ทั้งนี้ ควรทราบว่าอินเดียในแต่ละภูมิภาคไม่ได้นับปีใหม่ตรงกัน เพราะความแตกต่างของภูมิอากาศ เช่น ในภาคเหนือและเนปาลมักยึดเอาปีวิกรมีสัมวัตหรือปีพระเจ้าวิกรมาทิตย์เป็นหลัก
ซึ่งจะเปลี่ยนปีในช่วงเทศกาลวสันตนวราตรีในเดือนไจตระ (เดือนห้าแขก) ตกราวปลายกุมภาพันธ์ถึงต้นเมษายน
ปีใหม่ตามปีพระวิกรมาทิตย์คือวันแรกของเดือนห้าตามปฏิทินฮินดูนั่นเอง
ในเมษสงกรานต์ ชาวฮินดูโดยเฉพาะภาคใต้จะพากันไปเทวสถาน นำเครื่องบูชานานาชนิดไปถวาย บางที่ก็พากันไปบูชาพระสุริยเทพ ตกแต่งบ้านเรือน หุงข้าวต้มแกงเฉพาะเทศกาลและกินเลี้ยงกัน
เด็กๆ ก็จะไปกราบไหว้ผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะให้พรและให้เงินเล็กๆ น้อยๆ
สงกรานต์ของแขกพราหมณ์ไม่มีสาดน้ำหรือรดน้ำเป็นกรณีพิเศษ ถ้าจะมีรดน้ำเทวรูปในเทวสถาน เขาก็ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ใช่พิธีที่แยกออกมา
สาดน้ำในสงกรานต์จึงเป็นของบ้านเราเอง ไม่ได้มาจากอินเดีย นักวิชาการบางท่านว่า เริ่มที่พม่า ทำนองสาดไล่เสนียดแก่ฝ่ายอังกฤษ บางท่านว่า มาจากเอาน้ำล้างกระดูกผีบรรพบุรุษแล้วสาดขึ้นบนหลังคาเรือน เขาถึงต้องนิยมทำบุญผีบรรพบุรุษกันช่วงสงกรานต์ เพราะมันเป็นประเพณีก่อนอินเดีย
แล้วมาเล่นๆ กันโครมๆ นี่สมัยหลังแล้ว
ยังไงก็ตามแต่ ขอให้ทุกท่านมีความสุขในมหาสงกรานต์นี้นะครับ เล่นน้ำเล่นท่าระวังอุบัติเหตุกันด้วย
ส่วนใครผ่านไปรัฐสภา ฝากสาดน้ำท่านนายกฯ สักฉาด ท่านจะได้ชุ่มเย็น หายเครียด