ยานยนต์ สุดสัปดาห์ / สันติ จิรพรพนิต /’คูเปอร์ เอส คันทรีแมนฯ’ ‘มินิ’ ครอสโอเวอร์-(พอ) ลุยได้

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

‘คูเปอร์ เอส คันทรีแมนฯ’

‘มินิ’ ครอสโอเวอร์-(พอ) ลุยได้

 

คงนึกภาพกันไม่ค่อยออกหากแบรนด์ ‘มินิ’ จะตะลุยทางฝุ่น เพราะโดยพื้นฐานแล้วมินิมักเป็นรถเล็กน่ารัก ที่ครองใจสาวๆ ทั่วโลก

แต่สำหรับ ‘คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม’ ผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นรถที่พอจะลุยเข้ารกเข้าพงได้บ้าง

รวมถึงรูปทรงที่ยาวกว่ารถมินิทั่วไป ทำให้สามารถบรรทุกสัมภาระในกรณีต้องการเดินทางไปตั้งแคมป์ในจุดที่ไม่ทุรกันดารนัก

รูปลักษณ์ภายนอกปราดเปรียวและคลาสสิคในสไตล์คันทรีแมน ตกแต่งด้วย Chrome Line ตัดขอบด้วยเส้นสายโครเมียมสีเงิน เพิ่มความหรูหรา

กระจังหน้าเอกลักษณ์ของตระกูลนี้ พร้อมตัวอักษร ‘S’ เพื่อให้รู้ว่าเป็นรุ่น ‘คูเปอร์ เอส’

โคมไฟหน้าทรงเกือบกลม ไฟหน้าแอลอีดีโคมโปรเจ็กเตอร์ มีไฟ daytime driving light เป็นขอบอยู่ด้านนอก ต่ำลงมาเป็นไฟ LED Fog light ตัดหมอกทั้งไฟหน้าและไฟท้าย

ใต้กระจกมองข้างจะมีช่องไฟส่องสว่างลงบนพื้นเป็นโลโก้ ‘มินิ’ เพิ่มความน่าสนใจมากขึ้นในยามค่ำคืน และยังปลอดภัยเพิ่มขึ้น

ชายล่างด้านข้างเพิ่มความบึกบึนด้วยแถบสีเงิน มีแถบซุ้มล้อขนาดใหญ่สีดำ

ไฟท้ายทรงคุ้นตาแนวตั้งเหมือนในมินิทุกรุ่น

ด้านบนมีแร็กหลังคามาให้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุก พร้อมเสาอากาศแบบครีบฉลาม

ประตูที่ 5 เปิดขึ้นด้านบนสะดวกเวลาขนของขนาดใหญ่ใส่ในรถ ซึ่งมีระบบเตะเท้าเข้าไปใต้ท้องรถเพื่อเปิด-ปิดอัตโนมัติด้วย

ล้ออัลลอยสีดำลาย Pin Spoke ขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยางรันแฟลตขนาด 225/50

ท่อไอเสียคู่ซ้าย-ขวา เพิ่มความสปอร์ต

 

ห้องโดยสารตกแต่งโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีในห้องโดยสารเครื่องบินเจ๊ต ในสไตล์ MINI Yours Piano Black Illuminated สีดำมันวาว

ภาพรวมเป็นสีดำทั้งหมดแทรกด้วยสีดำเข้มบางจุด

พวงมาลัย 3 ก้านพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นวงขนาดพอเหมาะมือ พร้อม Paddle Shift ระบบเปลี่ยนเกียร์ที่วงมาลัย

เรือนไมล์วงกลมขนาดใหญ่ตรงกลางเป็นมาตรวัดความเร็ว พร้อมจอแสดงผลเล็กๆ อีกครึ่งวงด้านข้างบอกความเร็วรอบเครื่องยนต์

เรือนไมล์ติดตั้งอยู่บนคอพวงมาลัย ไม่ได้ฝังในคอนโซลหน้าเหมือนรถทั่วไป ข้อดีคือไม่ว่าจะปรับพวงมาลัยในตำแหน่งไหนก็สามารถมองเห็นเรือนไมล์ได้ชัดเจน ไม่ต้องกังวลว่าขอบพวงมาลัยจะบดบังสายตา

ด้านหน้ายังมีระบบแสดงผล MINI Head-Up Display บอกความเร็วรถโดยไม่ต้องเหลือบไปมองเรือนไมล์ ซึ่งบอกว่าเลยตลอดการทดสอบช่วยได้มาก เพราะตัวเลขความเร็วบนมาตรวัดมันอยู่ชิดกันมากไปหน่อย

ขยับมาตรงกลางเป็นหน้าจอเอกลักษณ์ทรงกลมขนาดใหญ่ ตรงกลางจอระบบสัมผัสดีไซน์ใหม่ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมระบบ MINI Connected ที่เป็นเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวในยามเดินทาง แสดงพิกัดของรถ และข้อมูลต่างๆ ผ่านการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน

พร้อมเป็นจอรับภาพจากกล้องมองหลัง

ระบบแอร์อัตโนมัติ ต่ำลงมาเป็นปุ่มควบคุมระบบต่างๆ ซึ่งทำเป็นแท่งๆ ยื่นออกมาคล้ายๆ กับห้องนักบิน

มี 5 ปุ่มหลักๆ ตรงกลางขนาดใหญ่สุดคือระบบสตาร์ต-สต๊อป ด้านขวาสุดที่ใกล้ผู้ขับขี่เป็นปุ่มเปลี่ยนโหมดการขับ ซึ่งมี 3 โหมดคือ กรีน มิดเดิล และสปอร์ต

โดยแต่ละโหมดการขับขี่ขอบหน้าจอตรงกลางจะเปลี่ยนสีไปตามโหมดที่เลือก เช่นเดียวกับไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร หลักๆ แบ่งเป็น 3 สีคือ เขียว เหลือง และแดง

 

หัวเกียร์ขนาดใหญ่จับกระชับมือ ใกล้ๆ กันเป็นเบรกมือไฟฟ้า และปุ่มคอนโทรลเลอร์ควบคุมหน้าจอตรงกลาง มีอารณ์คล้ายๆ ปุ่ม ‘ไอ-ไดรฟ์’ ในบีเอ็มดับเบิลยู

เบาะนั่งหนังนิ่มและมีปีกกระชับลำตัวได้ดี ปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ

เบาะหลังพับแยกได้เพิ่มพื้นที่บรรทุก

เจาะช่องแอร์สำหรับโดยสารตอนหลัง พร้อมช่องเสียบยูเอสบี 2 ช่อง

ส่วนที่เปิดประตูด้านในทรงกลมสีเงิน ดูเป็นมินิมากขึ้น

เครื่องเสียงหายห่วง แบรนด์ระดับไฮเอนด์ ‘Harman Kardon’ ลำโพงรอบคัน

ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1,998 ซีซี พร้อมทวินเพาเวอร์เทอร์โบ กำลังสูงสุด 192 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ที่ 1,350-4,600 รอบ/นาที ถือว่าแรงบิดมาที่รอบค่อนข้างต่ำทีเดียว

ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะแบบสปอร์ต

ส่วนความปลอดภัยมีถุงลมรอบคัน

ระบบควบคุมความเร็วคงที่พร้อมฟังก์ชั่นช่วยลดความเร็ว

ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC)

ระบบเซ็นเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (PDC)

ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ฯลฯ

 

เข้ารถไปนั่งภายใน บอกเลยว่าโอ่โถงกว่าที่คิด บวกกับการบีบคอนโซลกลางลงไปทำให้การวางเท้าซ้ายไม่มีปัญหาใดๆ

ปุ่มควบคุมต่างๆ อยู่ใกล้มือมาก การใช้งานแทบไม่ต้องเอื้อม ยิ่งมีปุ่มปรับข้อมูลต่างๆ บริเวณคอนโซลกลางยิ่งใกล้มือเข้าไปใหญ่

เสียงติดเครื่องกระหึ่มขึ้นมา แรกสุดขอโหมด ‘กรีน’ ก่อน ถือว่ามาได้ไวพอสมควร เมื่อความเร็วเริ่มแตะระดับ 1,000 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้นก็ไหลยาวๆ ไป 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง อย่างรวดเร็ว

จากนั้นลองโหมด ‘มิดเดิล’ กระชับขึ้นมานิดหนึ่ง

สุดท้ายขอจบยาวๆ กับโหมด ‘สปอร์ต’ เพราะขับสนุกจริงๆ ความเร็วมาแบบลื่นไหล มากไปกว่านั้นคือเสียงคำรามท่อไอเสียที่แผดเข้ามา ได้ความรู้สึกสนุกมากขึ้น

ในโหมดสปอร์ต พวงมาลัยมีความหน่วงมากขึ้น แต่ละย่านความเร็วมาในชั่วอึดใจ

ช่วงล่างเซ็ตมาได้แน่นหนึบ อาจมีความกระเด้งบ้างนิดๆ ส่วนหนึ่งมาจากยางแก้มค่อนข้างต่ำนั่นเอง แต่ก็ต้องยอมแลกเพราะสวยเข้ากับตัวรถดีเหลือเกิน

การเข้าโค้งหรือขับซิกแซ็ก กระชากเปลี่ยนเลนแรงๆ ไม่มีอาการเหวอให้รู้สึก

แม้ทริปนี้จะไม่ได้ลุยป่า แต่หาเส้นทางที่เป็นถนนดิน และขรุขระได้ลองบ้าง สบายมากเพราะตัวรถค่อนข้างสูงกว่ามินิทั่วไป เมื่อลองความเร็วสูงๆ สนุกมากกับความดิบนิดๆ ของช่วงล่าง

ปีกเบาะโอบลำตัวไม่มีเหวี่ยงไปมา

ส่วนแสงในรถที่แผ่ออกมาบางๆ ตามจุดต่างๆ ทำให้เมื่อนั่งภายในแล้วรู้สึกมีความพิเศษมากขึ้น

เครื่องเสียงหายห่วงครับใสแหนว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มแล้ว

ลองจอดเปลี่ยนไปนั่งข้างหลัง นั่งได้จริงครับ ยิ่งหากไม่ใช่คนตัวโตๆ ถือว่าสบายพอประมาณ

ที่เก็บของด้านหลังใหญ่จริง ใหญ่จัง ยัดกระเป๋าเดินทางใบโตได้สบาย

คนที่สนใจแบรนด์มินิ ที่อาจจะติดที่รูปร่างเล็กไปหน่อย ใส่ของได้ไม่เยอะ และกลัวอึดอัดหากไปกันหลายๆ คน

ลอง ‘คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม’ ซึ่งกำจัดจุดอ่อนเหล่านั้นไปทั้งหมด แถมขับสนุกอีกต่างหาก

จัดไปกับราคา 2,499,000 บาท