เกม “คนดี”

ทันทีที่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เปิดวาทกรรม “คนดี” ขึ้นมา

“เราต้องการให้คนดีเข้ามาอยู่ในเมืองไทย เข้ามาให้ช่วยทำงานการเมืองใช่ไหม”

แต่ “คนดี” กลับอยู่ในการเมืองไม่ได้

เขายกตัวอย่าง “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” 1 ใน 4 กุมาร ที่ไม่ได้เป็น “รัฐมนตรี” ในรัฐบาลชุดนี้

แต่นัยยะที่ต้องการสื่อก็คือ การปกป้อง 3 รัฐมนตรีในสังกัด

นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์

เหมือนบอกว่า 3 คนนี้ คือ “คนดี”

แต่ทันทีที่ใช้วาทกรรม “คนดี” เป็น “เส้นแบ่ง”

อีกฝั่งหนึ่งก็กลายเป็น “คนไม่ดี” ทันที

เหมือนก่อนหน้านี้ที่ “อุตตม-สนธิรัตน์” ให้สัมภาษณ์สื่อในงานวันเกิด “เนชั่นทีวี”

วันนั้น 18 กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐยื่นใบลาออก

ทั้งคู่ใช้วาทกรรม “การเมืองแบบเก่า-การเมืองแบบใหม่”

ผลักตัวเองมาเป็น “การเมืองแบบใหม่”

และผลักอีกกลุ่มหนึ่งเป็น “การเมืองแบบเก่า”

โดยลืมไปว่า “การเมืองแบบเก่า” ที่เก่ากว่าการตั้งก๊วน ตั้งแก๊ง แย่งชิงอำนาจ คือการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย

ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจ

กวาดต้อนนักการเมืองเก่าๆ เข้าพรรคโดยใช้เงินและอำนาจ

ใครที่อยู่ในหัวขบวนของกระบวนการนี้

ก็ถือว่าเป็น “การเมืองแบบเก่า” เช่นกัน

เมื่อ “สมคิด” และ “สี่กุมาร” ใช้วาทกรรมแบ่งความเป็น “เทพ” และ “มาร”

ปฏิกิริยาโต้กลับของอีกฝั่งหนึ่งจึงรุนแรงยิ่งกว่า

ตามหลักฟิสิกส์การเมือง

“แรงตก” ย่อมเบากว่า “แรงสะท้อน”

ยิ่งนายอุตตมดึงเกมไม่ยอมเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารที่รักษาการ เพื่อกำหนดวันประชุมเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่

การเดินเกมของคนที่ไม่ใช่ “คนดี” และยังเล่น “การเมืองแบบเก่า” ก็แรงขึ้นแบบไม่ไว้หน้า

ไม่ว่าจะเป็นการประกาศตามหา “คนหาย” ของนายสิระ เจนจาคะ ที่ถามถึงนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ที่ไม่เข้าประชุม

หรือการออกมาไล่ “สมคิด” ให้ไปเลี้ยงหลาน ของนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์

และต่อไปอาจจะหนักขึ้นถึงขั้นไปเล่นงานต่อในสภาแบบไม่ไว้หน้ากัน

ทุกอย่างเป็นไปได้หมด

ตราบใดที่ตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค” และ “เลขาธิการพรรค”

…ยังไม่เปลี่ยน


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่