ขอบคุณข้อมูลจาก | ดังได้สดับมา |
---|---|
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 เมษายน 2560 |
ผู้เขียน | วิเวกา นาคร |
เผยแพร่ |
ระหว่าง “พระภิกษุ” กับ “ฆราวาส” มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน เหมือนกับคำว่า “โลกิยะ” กับคำว่า “โลกุตระ”
เป็นความแตกต่างแต่มิได้หมายความว่าไม่ได้ “สัมพันธ์”
มีความพยายามแยกระหว่าง “พระภิกษุ” ออกจาก “ฆราวาส” และพยายามแยกระหว่าง “โลกิยะ” กับ “โลกุตระ”
เหมือน “น้ำ” กับ “น้ำมัน”
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง 2 คำ 2 ส่วนนี้ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะสามารถแยกขาดออกจากกันได้อย่างสิ้นเชิง
พุทธทาสภิกขุ เข้ามาดำรงอยู่ภายใน “ข้อต่อ” นี้
แสดงบทบาทในลักษณะอันเป็นสะพานเชื่อม ขณะเดียวกัน ก็อาศัยหลักการอันดำรงอยู่ภายในตัวของพุทธธรรมมาอธิบาย
เป้าหมายเพื่อให้แยกขาดจากกันในลักษณะ “สุดโต่ง”
การโต้แย้งอันเกิดขึ้นจากการตั้งประเด็นไม่ว่าจะโดย อนันต์ เสนาขันธ์ ไม่ว่าจะโดย กิตติวุฑโฒ ต่อท่านพุทธทาสภิกขุ เริ่มต้นจากจุดนี้
คล้ายกับความพยายามของท่านพุทธทาสภิกขุจะดำเนินไปอย่าง “สามานย์”
กระนั้น หากเราศึกษาอย่างถ่องแท้ รอบด้าน ก็จะประจักษ์ว่า ท่านพุทธทาสภิกขุแสดงบทบาทเป็น “กองหน้า” ก็จริง แต่ก็ดำรงสภาวะแห่งความเป็น “สะพานเชื่อม” อย่างแนบแน่น ไม่เคยท้อถอยและโรยแรง
ขอให้ศึกษาจาก ปีเตอร์ เอ. แจ็กสัน ต่อไป
เมื่อท่านพุทธทาสกล่าวถึงสูตรเดียวกันนี้ท่านอ้างว่า การที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะแนวปฏิบัติที่ง่ายกว่าหลัก “สุญญตา” ให้แก่ฆราวาสนั้นไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงเห็น “นิพพาน” ในแง่ของเป้าหมายที่สูงเกินไปสำหรับฆราวาส
ในทางตรงกันข้าม ท่านพุทธทาสชี้ว่า
โสดาปัตติยังคะ 4 ที่พระพุทธองค์ตรัสบอกธรรมทินะนั้นไม่ใช่โลกิยธรรมอย่างที่เชื่อกันมาแต่เดิม แต่เป็นธรรมะที่นำผู้ปฏิบัติไปตามเส้นทางสู่ “นิพพาน” อย่างเต็มรูปแบบ
ท่านได้อธิบายเหตุผลของเรื่องนี้ว่า โสดาปัตติซึ่งแปลว่า “เข้าสู่กระแส” นั้นบ่งบอกถึงจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติตามองค์ 8 ของอริยมรรคซึ่งไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่ความสำเร็จทางโลก แต่อยู่ที่ “นิพพาน”
ว่ากันตามจริงแล้ว ในธรรมทินสูตรนั้นพระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสว่า โสดาปัตติยังคะเป็นเส้นทางแบบโลกิยะอย่างแท้จริง
และพระองค์ก็มิได้ตรัสถึงคำว่า โลกิยะ ในบริบทของสูตรนี้เลย
ดังนั้น เราจึงพอจะเห็นได้ว่า คำตีความแบบดั้งเดิมของธรรมทินสูตรตามที่ชาวพุทธส่วนใหญ่เชื่อกันมา และพระกิตติวุฑโฒยกมาอ้างเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ท่านพุทธทาสนั้นไม่ได้มีข้อความในพระไตรปิฎกเป็นฐานหลักที่รองรับสนับสนุนโดยตรง
ท่านพุทธทาสยืนยันว่า นอกจากคำแปลงความธรรมทินสูตรตามแบบดั้งเดิมจะผิดพลาดแล้ว
“ความเข้าใจผิดของคนบางคนที่พยายามแยกเรื่องโลกิยะออกจากเรื่องโลกุตระยังจะทำลายแก่นสัจธรรมในพระพุทธศาสนาอีกด้วย”
แม้ท่านจะยอมรับความแตกต่างเกี่ยวกับบทบาททางสังคมของพระภิกษุกับฆราวาส ท่านพุทธทาสก็ยังชี้ว่าพระพุทธองค์ไม่เคยตรัสว่า โลกิยธรรมแตกต่างและสวนทางกับโลกุตรธรรมแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม ท่านแสดงถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
โดยกล่าวว่า
“โลกิยธรรมเป็นหน้าที่หรือกิจการของฆราวาสซึ่งจำเป็นต้องปฏิบัติธรรมให้สอดคล้องกับลักษณะสามัญของพวกเขา แต่พร้อมกันนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงให้ความรู้เกี่ยวกับโลกุตรธรรมสำหรับควบคุมหน้าที่ตามโลกิยธรรมเหล่านั้น เพื่อว่าผู้ปฏิบัติจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์”
ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับว่า ตามความเป็นจริงแล้วพระพุทธเจ้าทรงกำหนดวิธีปฏิบัติเช่นไรให้แก่ฆราวาสเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และมีทัศนะที่ขัดแย้งกันอยู่ในข้อความที่ปรากฏในที่ต่างกันของพระไตรปิฎก
นี่คือ “ประเด็น” ที่ ปีเตอร์ เอ. แจ็กสัน ทิ้งเอาไว้ เป็นการทิ้งในลักษณะที่ต้องการอธิบายและขยายความคิดของท่านพุทธทาสภิกขุ
เพื่อให้เห็นอย่างเด่นชัดใน “ทิศทาง”
ไม่ว่าท่านพุทธทาสภิกขุ ไม่ว่า ปีเตอร์ เอ. แจ็กสัน เมื่ออยู่เบื้องหน้า “ความขัดแย้ง” จะปรากฏท่วงทำนองเดียวกัน
นั่นก็คือ ย้อนกลับไป “ตั้งหลัก”
ปีเตอร์ เอ. แจ็กสัน กลับไปตั้งหลักจากงานของท่านพุทธทาสภิกขุโดยตรง ขณะเดียวกันก็ไม่เหินห่างไปจาก “พระไตรปิฎก”
นี่คือจุดเย้ายวนชวนให้ติดตามอย่างยิ่ง